Tuesday, May 20, 2014

พิพิธภัณฑ์พระอุบาลีมหาเถระ อนุสรณ์พระพุทธศาสนสัมพันธ์สยาม- ศรีลังกา ๒๖๐ ปี










ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...รายงาน
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสารอ.ส.ท. ปีที่ ๕๔ ฉบับที่ ๑๐ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗

ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางฟากตะวันตก นอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา วัดธรรมารามสงบงามอยู่ภายใต้ร่มเงาไม้รื่นเย็น อารามเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแห่งนี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างตั้งแต่เมื่อใด ทว่าจากเรื่องราวในพงศาวดารที่บันทึกเอาไว้พอจะประมาณอายุได้ว่าไม่ต่ำกว่า ๔๑๔ ปี  โดยปรากฏว่ากองทัพพม่าที่เข้าตีกรุงศรีอยุธยามักจะเข้ามายึดเป็นสถานที่ตั้งทัพ เนื่องจากเหนือวัดขึ้นไปเป็นปากแม่น้ำลพบุรี ที่ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาอันถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ



นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาตามเส้นทางไหว้พระ ๙ วัด มักจะผ่านเลยวัดธรรมาราม ซึ่งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างวัดกษัตราธิราชและวัดท่าการ้องไป ทั้งที่ความจริงแล้วที่นี่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางพระพุทธศาสนา  เนื่องจากเป็นวัดที่เคยเป็นสถานที่จำพรรษาของพระอุบาลีมหาเถระ พระธรรมฑูตแห่งกรุงศรีอยุธยาผู้เดินทางไปฟื้นฟูพุทธศาสนาเถรวาทในศรีลังกาที่เสื่อมสูญ ให้กลับรุ่งเรืองเป็นนิกาย“สยามวงศ์”สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน


วิกฤตพุทธศาสนาในศรีลังกาครั้งนั้นเกิดขึ้นตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จากการคุกคามของชาวทมิฬจากอินเดีย และชาวโปรตุเกสที่เข้ามาแสวงหาอาณานิคม ทำให้ศรีลังกาสูญสิ้นคณะสงฆ์ ไม่มีพระอุปัชฌาย์ทำการอุปสมบทสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อได้  ในพ.ศ.๒๒๙๓ พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ กษัตริย์ศรีลังกา ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับคืนสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง จึงโปรดให้ส่งราชทูตมายังกรุงศรีอยุธยาซึ่งในขณะนั้นตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ คณะราชทูตศรีลังกาออกเดินทางจากท่าเรือตรินโคมาลีด้วยเรือของฮอลันดานามว่าเวลตรา ผ่านเมืองอะแจ เกาะสุมาตรา แล้วแวะพักหลบฤดูมรสุมที่มะละกาห้าเดือน ก่อนจะเข้ามายังปากน้ำเจ้าพระยา ผ่านเมืองบางกอกและนนทบุรี  มาจนถึงกรุงศรีอยุธยา


ในพ.ศ.๒๒๙๔ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดให้คัดเลือกพระสงฆ์ที่แตกฉานในพระไตรปิฎกและเคร่งครัดในพระธรรมวินัยรวม ๒๔ รูป นำโดยพระอุบาลีมหาเถระและพระอริยมุนีมหาเถระพร้อมสามเณรอีก ๗ รูป ออกเดินทางด้วยเรือกำปั่นหลวงที่เพิ่งต่อขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับส่งคณะสงฆ์ไทยไปลังกาโดยเฉพาะ แต่ระหว่างทางถูกพายุคลื่นใหญ่ซัดเสากระโดงหักไปเกยตื้นที่เมืองนครศรีธรรมราช จนคณะสมณฑูตต้องเดินทางกลับมายังกรุงศรีอยุธยา  

  ในปีต่อมาคือพ.ศ. ๒๒๙๕ พระอุบาลีพร้อมคณะสมณฑูตชุดเดิมจึงออกเดินทางอีกครั้งด้วยเรือกำปั่นฮอลันดา ครั้งนี้เป็นไปโดยสวัสดิภาพ ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือตรินโคมาลีสำเร็จ พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะโปรดให้ส่งคณะขุนนางผู้ใหญ่มารอต้อนรับคณะสมณทูตไทยไปยังนครหลวงแคนดี ตลอด ๓ ปีพระอุบาลีและคณะสมณทูตสยามฟื้นฟูพุทธศาสนาด้วยการประกอบพิธีอุปสมบทให้กับชาวลังกาและวางแผนการปกครองคณะสงฆ์ เผยแพร่ขนบธรรมเนียมชาวพุทธ รวมเป็นพระสงฆ์จำนวน ๗๐๐ รูปและสามเณร ๓,๐๐๐ รูป ก่อนที่จะพระอุบาลีจะมรณภาพในศรีลังกา โดยหนึ่งในผู้ที่พระอุบาลีเป็นพระอุปัชฌาย์ให้คือสามเณรเวลิวิตะ ศรีสรณังกร ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นพระสังฆราชองค์แรกแห่งศรีลังกา และได้ทรงตั้งนิกายสยามวงศ์ขึ้น ชื่อเต็มว่า “สยาโมปาลีมหานิกาย” หมายถึงนิกายใหญ่ของพระอุบาลีจากประเทศสยาม และดำรงอยู่มาตราบจนถึงทุกวันนี้


ปี พ.ศ.๒๕๕๖ที่ผ่านมาถือเป็นวาระครบรอบ ๒๖๐ ปีของการสถาปนาพระพุทธศาสนาสยามนิกาย ในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาของพระอุบาลี รัฐบาลไทยจึงได้อนุมัติงบ ๑๐ ล้านบาท บูรณะวัดธรรมารามและสร้างพิพิธภัณฑ์พระอุบาลีมหาเถระขึ้น เพื่อเฉลิมฉลอง ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๖  ณ วัดธรรมาราม โดยฝ่ายไทยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยนายพลเดช วรฉัตร อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคลัมโบ และคณะข้าราชการเข้าร่วมในพิธี ในขณะที่ทางฝ่ายศรีลังกามีสมเด็จพระสังฆราชแห่งศรีลังกา รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมและศิลปะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รองปลัดกระทรวงมรดกแห่งชาติศรีลังกาและเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยเข้าร่วมในพิธี




ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์พระอุบาลีมหาเถระปรับปรุงจากศาลา ๒ ชั้นเดิมของวัด  ห้องจัดแสดงเป็น โถงใหญ่อยู่ชั้นบน เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ ภายในจัดเป็นนิทรรศการถาวรให้เดินชมแบบเวียนขวาโดยเรียงตามลำดับตามหัวข้อ เริ่มจากอาจาริยบูชา บนแท่นกลางห้องประดิษฐานรูปจำลองพระอุบาลีมหาเถระแกะสลักจากไม้มะฮอกกานีความสูง ๑๘๐ เซนติเมตร อยู่เคียงข้างธรรมาสน์เก่าแก่ของวัด   ประดิษฐานลังกาวงศ์ในสยาม นำเสนอการรับอิทธิพลพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในประเทศไทยด้วยแบบจำลองสถาปัตยกรรมสำคัญ วิกฤติพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินลังกา ที่ใช้สื่อมัลติมีเดียนำเสนอถึงมูลเหตุที่พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญไปจากศรีลังกาและเรื่องราวการเดินทางมากรุงศรีอยุธยาของราชทูตจากศรีลังกา



ในหัวข้อภารกิจกอบกู้พระพุทธศาสนา จัดทำเป็นห้องฉายภาพยนตร์ประกอบการแสดงแสงและเสียง  เล่าเหตุการณ์เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลของพระอุบาลีทั้งสองครั้งสองคราวอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ  ประดิษฐานสยามวงศ์ในลังกา เล่าเรื่องการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในลังกาของพระอุบาลีตลอด ๓ ปี ก่อนมรณภาพ รวมทั้งจัดแสดงพระราชสาส์นจำลอง และอัฐบริขารจำลองของพระอุบาลีไว้ให้ชมในห้องกระจก สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน แสดงภาพถ่ายผ่านจอแอลอีดี นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย- ศรีลังกา และการสร้างพิพิธภัณฑ์พระอุบาลีมหาเถระ และหัวข้อสุดท้าย เที่ยวเมืองเก่าเข้าถึงธรรม  แผนที่เส้นทางท่องเที่ยวชมโบราณสถานในเกาะเมืองอยุธยาที่ได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ในการเข้าชมนิทรรศการทั้งหมดจะมีวิทยากรคืออาจารย์สามิต อยู่วัฒนาอดีตอาจารย์สอนศิลปะซึ่งอาสาสมัครเข้ามาช่วยงานของวัด.คอยนำชมและบรรยาย


มุมหนึ่งของห้องนิทรรศการยังจัดแสดงของที่ระลึกที่เกี่ยวข้อง เช่น รูปจำลองพระอุบาลีมหาเถระหล่อด้วยเรซิน เหรียญที่ระลึก และวัตถุมงคลต่าง ๆ  ไว้ให้ผู้มีจิตศรัทธาได้บูชากลับไป โดยรายได้ทั้งหมดจะนำมาใช้สำหรับค่าใช้จ่ายของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งทางวัดกำลังอยู่ในระหว่างจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อการดำเนินงานอย่างเป็นทางการต่อไป



  บนเส้นทางไหว้พระ ๙ วัดของพระนครศรีอยุธยาวันนี้ พิพิธภัณฑ์พระอุบาลีมหาเถระ วัดธรรมาราม ถือเป็นจุดหมายใหม่ที่ไม่ควรข้ามผ่าน ในฐานะอนุสรณ์สถานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาแบบเถรวาทของกรุงศรีอยุธยา ที่เคยส่งพระธรรมฑูตไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาจนลงหลักปักฐานอย่างแน่นหนาที่ศรีลังกาในนาม “สยามวงศ์” เป็นเวลา ๒๖๐ ปีมาแล้ว  

No comments:

Post a Comment