Sunday, April 12, 2020

เยือนเมืองลุง ยลแหล่งโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลป์ เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้




ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. พฤษภาคม ๒๕๖๓ 

ขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์จากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ชะลอความเร็วลง ก่อนจะแล่นเข้าเทียบชานชาลาสถานีรถไฟพัทลุงแต่เช้ามืด ถือเป็นรูปแบบแปลกใหม่ในการเดินทางของคณะทัศนศึกษาในโครงการวัฒนธรรมสัญจรของกรมศิลปากร ซึ่งเปิดโอกาสให้ครู อาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษาตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจได้ร่วมเดินทางท่องเที่ยวกับกรมศิลปากร เพื่อศึกษา เรียนรู้ และตระหนักในคุณค่าของแหล่งโบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย

โครงการฯ นี้จัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยแต่ละกลุ่มในสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ ในปี ๒๕๖๓ นี้ จัดขึ้นในวันที่ ๙-๑๓ มีนาคม ที่ผ่านมา ในหัวข้อ “เยือนเมืองลุง ยลแหล่งโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลป์ เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้” ซึ่งพื้นที่เมืองพัทลุงถือว่าเหมาะสม ด้วยความอุดมสมบูรณ์ด้านการเกษตรจนได้สมญานาม “อู่ข้าวอู่น้ำของภาคใต้” จึงทำให้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนกระทั่งเติบโตขึ้นเป็นบ้านเมืองเจริญต่อเนื่องมายาวนาน ปรากฏร่องรอยหลักฐานหลายยุคหลายสมัย ทั้งยังมีชื่อเสียงในฐานะ “นครตักศิลาแห่งพุทธธรรมและไสยเวทย์ของภาคใต้” จึงมีเรื่องราวหลากหลายให้คณะทัศนศึกษาได้เรียนรู้

 พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ
 ศาลาจัตุรมุขที่ประดิษฐานพระพุทธนิรโรคันตรายฯ 

หลังจากเช็กอินเข้าที่พักที่โรงแรมสิทธินาถแกรนด์วิว อำเภอเมืองฯ จังหวัดพัทลุง แล้ว คณะทัศนศึกษาออกเดินทางไปสักการะพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระราชทานไว้ประจำเมืองพัทลุง ณ ศาลาจัตุรทิศ ใกล้กับศาลากลางจังหวัด เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนแวะชมปืนใหญ่โบราณสมัยอยุธยาที่เก็บรักษาไว้หน้าเสาธงโรงเรียนพัทลุงที่อยู่ไม่ไกลกัน

 สวนเดอลอง

จากนั้นมุ่งหน้าไปยังสวนเดอลอง แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร จุดเช็กอินใหม่ของพัทลุงที่น่าสนใจด้วยแปลงสาธิตการปลูกข้าวและการเพาะเห็ด กับเดอลองคาเฟ่ ที่มี “สังข์หยด สตาร์ แมคคิอาโต” เครื่องดื่มฟิวชันข้าวสังข์หยดกับกาแฟ เป็นรสชาติแปลกใหม่ให้ลิ้มลอง และเดอลองของฝาก ศูนย์รวมผลิตภัณฑ์แปรรูปจากวัตถุดิบทางเกษตรในท้องถิ่นที่ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าจับจ่ายไปเป็นของฝาก

 วัดเขียนบางแก้ว
 โบราณวัตถุภายในพิพิธภัณฑ์

สถาปัตยกรรมภายในวัด
            เดินทางต่อไปยังอำเภอเขาชัยสน อันเป็นที่ตั้งของ “โคกเมืองบางแก้ว” สถานที่แรกตั้งเมืองพัทลุงเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ โดยเจ้าพระยากุมารและนางเลือดขาวนำคนจากชุมชนบ้านพระเกิด (ในพื้นที่ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง) ซึ่งเป็นชุมชนจับช้าง อพยพมาตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้น ชื่อ “เมืองพัทลุง” โดยคำว่าพัทลุงสันนิษฐานว่าเพี้ยนจาก”เมืองตะลุง” อันหมายถึงเมืองเสาตะลุง (หลักล่ามช้าง) มีฐานะเป็นเมืองบริวาร ๑ ใน ๑๒ นักษัตรของนครศรีธรรมราช ตราประจำเมืองคือมะเส็ง (งูเล็ก) จนเมื่อกรุงศรีอยุธยาขยายอำนาจลงมาทางใต้ยึดนครศรีธรรมราชได้ พัทลุงจึงขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาในฐานะหัวเมืองชั้นตรี

 โบราณสถานที่สันนิษฐานว่าคือหอถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในอดีต

หลักฐานสิ่งก่อสร้างในสมัยนี้ปรากฏอยู่ที่วัดเขียนบางแก้ว ภายในบริเวณวัดมีโบราณสถานสมัยอยุธยาหลายแห่ง ทั้งเจดีย์ อุโบสถ รวมทั้งศาลหลักเมืองพัทลุงเก่า และซากโบราณสถานที่สันนิษฐานว่าเป็นหอถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา รวมทั้งยังได้มีการรวบรวมโบราณวัตถุหลากยุคหลายสมัยที่พบในพื้นที่เก็บรักษาไว้ให้ชมในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดเขียนบางแก้ว

                    คลิกที่นี่เพื่อชมวิดิทัศน์นำชมภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดเขียนบางแก้ว

ชมจิตรกรรมฝีมือช่างยุคต้นรัตนโกสินทร์อันตระการตาของวัดวิหารเบิก

            ช่วงบ่ายเดินทางต่อไปยังวัดวิหารเบิก สถาปัตยกรรมยุคต้นรัตนโกสินทร์ในอำเภอเมืองฯ จิตรกรรมฝาผนังฝีมือหลวงเทพบัณฑิต (สุ่น) ถือเป็นงานศิลปกรรมชิ้นเอกของภาคใต้ ภายในอุโบสถเป็นเรื่องราวพุทธประวัติตอนมารผจญและทศชาติชาดก ที่น่าสนใจมากคือเพดานอุโบสถเขียนภาพหมู่ดาวในจักรราศีต่าง ๆ รวมทั้งหมู่ดาวในความเชื่อพื้นถิ่น

                                       คลิกที่นี่เพื่อชมวิดิทัศน์นำชมจิตรกรรมฝาผนังวัดวิหารเบิก

 อนุสาวรีย์ขุนคางเหล็ก อดีตเจ้าเมืองพัทลุง หน้าเจดีย์ใหญ่ของวัดวัง 

 ในอุโบสถวัดวังก็มีจิตรกรรมในยุคสมัยเดียวกัน

ข้ามฟากถนนไปยังวัดวังอันเป็นวัดที่สร้างโดยพระยาพัทลุง (ทองขาว ณ พัทลุง) และถูกใช้เป็นสถานที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมืองพัทลุง ด้านหน้าวัดเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ สถาปัตยกรรมอุโบสถล้อมรอบด้วยระเบียงคด ประดิษฐานพระพุทธรูปโดยรอบ ๑๐๘ องค์ อิทธิพลสกุลช่างราชสำนัก พระประธานภายในแม้กำลังอยู่ระหว่างการบูรณะลงรักยังไม่ปิดทอง แต่ก็ยังสามารถชมภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธประวัติและเทพชุมนุมฝีมือช่างเดียวกันกับวัดวิหารเบิก

 จวนเจ้าเมืองเก่าหรือ "วังเก่า" ที่ชาวบ้านเรียกขานกัน

 เยี่ยมชมและฟังบรรยายในจวนเก่า


วิทยากรบอกเล่าเรื่องราวในอดีตบนลานกลางจวนใหม่
จากนั้นเดินทางต่อไปเยี่ยมชมวังเจ้าเมืองพัทลุง ที่อยู่ถัดไปไม่ไกล วังในที่นี่คือจวน หรือสถานที่ว่าราชการและที่พักอาศัยของเจ้าเมืองพัทลุงในอดีต ปัจจุบันหลงเหลืออยู่ ๒ หลัง คือ “จวนเก่า” สถาปัตยกรรมแบบเรือนไทยภาคกลางผสมภาคใต้ ยกพื้นสูง เป็นเรือนแฝด เป็นของพระยาอภัยบริรักษ์ (น้อย จันทโรจวงศ์) ผู้ว่าราชการเมืองพัทลุง พ.ศ. ๒๔๐๙-๒๔๓๑ และ “จวนใหม่” สถาปัตยกรรมกลุ่มเรือนไทย ๕ หลัง ยกสูง ก่ออิฐถือปูน เป็นของพระยาอภัยบริรักษ์ (เนตร จันทโรจวงศ์) ผู้ว่าราชการเมืองพัทลุง พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๔๖ ซึ่งทายาทตระกูลจันทโรจวงศ์ได้มอบจวนทั้งสองหลังให้กรมศิลปากรดูแล

 รองอธิบดีกรมศิลปากรกล่าวเปิดโครงการ

ช่วงเย็น ณ บริเวณลานข้างจวนใหม่ นายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการวัฒนธรรมสัญจร ประจำปี ๒๕๖๓ อย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยงานเลี้ยงอาหารค่ำให้กับคณะทัศนศึกษา พร้อมชมโนรา การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านในระบบแสงเสียงอันงดงามตระการตา

 ยอขนาดใหญ่ เอกลักษณ์ของปากประ
 ล่องเรือชมทัศนียภาพยามเช้า
วันรุ่งขึ้นคณะทัศนศึกษาตื่นแต่เช้ามืดเพื่อออกเดินทางไปยังคลองปากประ อำเภอควนขนุน ลงเรือชมบรรยากาศดวงอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทิวทัศน์ผืนน้ำที่เรียงรายไปด้วย “ยอ” อุปกรณ์ประมงภูมิปัญญาท้องถิ่นขนาดยักษ์ ล่องเรือชมทิวทัศน์ผืนป่าชายเลน ชมวิถีการทำมาหากินของชาวบ้าน ฝูงควายน้ำที่ดำผุดดำว่ายอยู่ทั่วไป และนกน้ำน้อยใหญ่นานาชนิดในอาณาบริเวณอันกว้างขวางของทะเลน้อย

ถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ภายในวัดคูหาสวรรค์
 พระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และพระนาม ที่สลักไว้บนเพิงผาหน้าถ้ำ
                           
                              คลิกที่นี่เพื่อชมวิดิทัศน์นำชมภายในบริเวณถ้ำวัดคูหาสวรรค์                    

ช่วงสายจึงเดินทางไปยังวัดคูหาสวรรค์ ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง อันเป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยปรากฏเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองแบบอยุธยาอยู่ ๑ องค์เป็นหลักฐาน คณะทัศนศึกษาเข้าเยี่ยมชมโบราณสถานถ้ำคูหาสวรรค์ หรือถ้ำพระ ด้านหลังอุโบสถ ภายในถ้ำหินปูนเคยพบกรุพระพิมพ์ดินดิบสมัยศรีวิชัย พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘ และประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น ๓๕ องค์ เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ๑ องค์

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์เสด็จประพาสถ้ำแห่งนี้หลายพระองค์ ดังปรากฏพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และพระนามจารึกบนเพิงหินผาหน้าถ้ำ ได้แก่ พระปรมาภิไธย จปร. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระปรมาภิไธย ปปร. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระปรมาภิไธย ภปร. พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระนามาภิไธย สก. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง พระนาม บส. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต และอักษรพระนามสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ

หลากหลายผลิตภัณฑ์จากกระจูด
 ฟังเรื่องราวข้าวสังข์หยด

ช่วงบ่ายเดินทางไปยังอำเภอควนขุนอีกครั้ง เพื่อเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่น โดยเข้าเยี่ยมชมศูนย์หัตถกรรมกระจูดวรรณี ซึ่งแปรรูปกระจูดเป็นข้าวของเครื่องใช้ เช่น กระเป๋าถือ โคมไฟ ด้วยการออกแบบที่ทันสมัย จนสามารถเป็นสินค้าส่งออกไปขายในระดับนานาชาติ และเยี่ยมชมศูนย์วิสาหกิจชุมชนข้าวสังข์หยดบ้านเขากลาง ข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่ราบลุ่มรอบทะเลสาบสงขลาที่ได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จนบริสุทธิ์ จดทะเบียนในชื่อ “ข้าวสังข์หยดพัทลุง” ผลิตข้าวออกสู่ตลาดอย่างได้มาตรฐานในทุกขั้นตอน

                                   คลิกที่นี่เพื่อชมวิดิทัศน์นำชมศูนย์หัตถกรรมกระจูดวรรณี

 เจดีย์โบราณบนยอดเขาวัดเขาอ้อ

แดดร่มลมตกจึงเดินทางไปถึงวัดเขาอ้อ วัดโบราณที่สร้างมาแต่สมัยอยุธยา มีชื่อเสียงในฐานะ “ตักศิลาแห่งไสยเวทย์ของภาคใต้” คณะทัศนศึกษาเยี่ยมชมภายในถ้ำซึ่งเป็นสถานที่อาบน้ำว่านให้อยู่ยงคงกระพัน และขึ้นไปชมทิวทัศน์ยามเย็นบนภูเขาที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองและเจดีย์โบราณ ขากลับแวะชมแสงสุดท้ายดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตใหญ่ลาลับขอบฟ้าเหนือทิวเขา ณ บริเวณจุดชมวิวสะพานเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา (สะพานเอกชัย) ปิดท้ายการทัศนศึกษาวันที่สองอย่างประทับใจ


ป้อมปราการสูงใหญ่เด่นตระหง่านของกลุ่มโบราณสถานเมืองชัยบุรีคือจุดหมายแรกของการทัศนศึกษาในวันที่สาม ในสมัยอยุธยาเมืองพัทลุงถูกโจมตีปล้นสะดมจากโจรสลัดมลายูและหัวเมืองใกล้เคียงหลายต่อหลายครั้ง จนบ้านเมืองวัดวาอารามเสียหาย ทำให้ต้องย้ายศูนย์กลางการปกครองไปตั้งที่เมืองพระรถ เมืองบ้านควนแร่ แต่การย้ายเมืองครั้งสำคัญที่สุดคือการย้ายเมืองพัทลุงมาตั้งที่เขาชัยบุรี เนื่องจากมีการสร้างกำแพง ขุดคูเมืองเชื่อมต่อกับภูเขาเป็นปราการอันแข็งแกร่ง โดย ”ฟารีซี” น้องชายของสุลต่านสุไลมานเจ้าเมืองสงขลา

 ป้อมปราการอันแข็งแกร่งของเมืองพัทลุงที่เขาชัยบุรี
 ขึ้นเขาเยี่ยมชมทิวทัศน์เหนือป้อมเขาชัยบุรี
เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งกองทัพมาปราบเมืองสงขลาซึ่งเป็นกบฏสำเร็จ ได้ทรงส่งวิศวกรชาวฝรั่งเศส มองซิเออร์เดอ ลามาร์ มาออกแบบสร้างป้อมกำแพงเมืองให้นครศรีธรรมราช สงขลา และที่พัทลุงนี้ เดอ ลามาร์ได้ออกแบบใหม่ จากเดิมเป็นระเนียดไม้ เป็นกำแพงก่ออิฐพร้อมป้อมรูปดาวแฉก เมืองพัทลุงที่เขาชัยบุรีจึงแข็งแกร่ง มีเจ้าเมืองปกครองต่อเนื่องมาอีกหลายคน จนเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาจึงหมดบทบาทไป ปัจจุบันทางกรมศิลปากรได้บูรณะขุดแต่งบริเวณป้อมเมืองชัยบุรีจนชัดเจนสวยงาม สามารถเดินขึ้นไปถึงบนยอดเขาที่ตั้งของเจดีย์และชมทิวทัศน์ได้โดยรอบ

                    คลิกที่นี่เพื่อชมวิดิทัศน์เดินขึ้นจุดชมทิวทัศน์ป้อมเขาชัยบุรี




หลังจากนั้นเยี่ยมชมหมู่บ้านหัตถกรรมผลิตภัณฑ์จากกะลา (กะลาลุงปลื้ม) ที่นำเอากะลามะพร้าวมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ข้าวของเครื่องใช้ได้อย่างหลากหลาย ก่อนแวะวัดท่าแค สถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งกำเนิดโนรา การแสดงพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ โดยในบริเวณวัดเป็นที่ตั้งของศาล ประดิษฐานรูปหล่อของ “ขุนศรีศรัทธา” ครูต้นแห่งโนรา ซึ่งจะมีการทำพิธีไหว้ครูโนราที่วัดนี้ทุกปี

 รูปหล่อขุนศรีศรัทธา ต้นกำเนิดโนรา ที่วัดท่าแค

แวะไปยังศูนย์การเรียนรู้หอศิลป์หนังตะลุง ชมการแสดงโนรา การโหมโรงหนังตะลุงแบบโบราณ และสาธิตการแกะลายตัวหนังตะลุงเป็นรายการสุดท้าย ก่อนที่คณะทัศนศึกษาจะขึ้นรถไฟขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์เดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมกับความประทับใจจากการเดินทางที่จะยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป แล้วพบกันใหม่ในโครงการวัฒนธรรมสัญจรกับกรมศิลปากร ๒๕๖๔ ปีหน้า
 สาธิตการแกะตัวหนังตะลุง

ชมภาพถ่าย วีดิทัศน์ และเรื่องราวของการทัศนศึกษาวัฒนธรรมสัญจร ประจำปี ๒๕๖๓ “เยือนเมืองลุง ยลแหล่งโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลป์ เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้” เพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก “แวะชมสมบัติศิลป์” www.facebook.com/artontheways

 อนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓