Friday, November 15, 2019

ท่องเวียงโบราณ ตามรอยตำนานรักพระลอ

 ทุ่งดอกปอเทืองเหลืองอร่ามกับวัดงามบนเส้นทาง


ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ 

 พูดถึงความรัก ไม่ว่าใครก็มักจะนึกถึงภาคเหนือ

 ไม่แปลกใจเลยที่บรรดาคนทำหนังทั้งหลายมักเลือกเป็นโลเกชันมาถ่ายทำภาพยนตร์ไทยแนวรักโรแมนติกคิกขุอาโนเนะ ลองสังเกตดูสิครับว่าระยะหลังมานี่ล้วนแล้วแต่ไปถ่ายทำกันในภาคเหนือทั้งนั้น

ที่สำคัญก็คือทำแล้วดัง กวาดสตางค์กันจนกระเป๋าตุงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท รักจัง กระทั่งเรื่องล่าสุด แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ที่เพิ่งเข้าฉายส่งท้ายปีซึ่งได้ยินว่าถ่ายทำที่ปาย ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องนี้หรือเปล่าทำเอาช่วงหยุดยาวปีใหม่ที่ผ่านมาคนแห่ขึ้นไปเที่ยวเมืองปายกันอย่างมโหฬารล้นหลาม กระทั่งน้ำมันหมดปั๊มไม่มีให้เติม  ต้องบันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์ของการท่องเที่ยวกันเลยละครับ

 อาจจะเป็นเพราะภาคเหนือนั้นมีบรรยากาศที่เป็นใจ เชื่อได้เลยว่าไม่ว่าใครก็ตามที่มีโอกาสได้มาท่องเที่ยวภาคเหนือ ท่ามกลางทิวทัศน์สวย ท้องฟ้าสีครามใส สายลมหนาวที่โชยพัดเย็นสบายอย่างนี้ ต้องมีอย่างน้อยสักครั้งละครับ ที่แอบฝันไปว่าบนเส้นทางระหว่างเดินทางท่องเที่ยวจะได้พบพานเข้ากับความรักอันแสนหวาน ผ่านเข้ามาให้จดจำเป็นความประทับใจสักครั้งในชีวิต
 
 พระลอ พระเพื่อน และพระแพง ความตายเพื่อรักอันเป็นอมตะ

เปิดปูมตำนานรักอมตะ

            ก็เพราะความรักนี่แหละที่ชักนำผมมาอยู่บนเส้นทางแพร่-พะเยาในตอนนี้

            เปล่าครับ ไม่ใช่ความรักของผมเองหรอก เดี๋ยวจะนึกว่าผมแอบติดอกติดใจมาเทียวไล้เทียวขื่อสาวชาวล้านนาแถวนี้เข้าให้

ความรักที่ว่านี้เป็นเรื่องราวความรักระหว่างพระลอแห่งเมืองแมนสรวงกับพระเพื่อนพระแพงแห่งเมืองสรองที่กลายเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาในท้องถิ่นแดนดินล้านนาเนิ่นนานนับหลายร้อยปีต่างหากครับ

เรื่องราวนั้นจะว่าไปก็คล้าย ๆ เรื่องโรมิโอกับจูเลียตของฝรั่ง คือเป็นโศกนาฏกรรมรักระหว่างหนุ่มสาวจากสองราชวงศ์ที่เป็นศัตรูกัน โดยต้นเรื่องเกิดขึ้นจากสงครามระหว่างเมืองแมนสรวงกับเมืองสรอง โดยท้าวแมนสรวงเจ้าเมืองแมนสรวงได้ยกทัพเข้าโจมตีเมืองสรอง แม้ไม่สามารถยึดเมืองได้ แต่ก็ได้สังหารท้าวพิมพิสาคร เจ้าเมืองสรองในการรบ เป็นผลให้ทั้งสองเมืองต่างก็เป็นอริบาดหมางต่อกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อเจ้าเมืองแมนสรวงเสด็จสวรรคต พระโอรสได้ขึ้นครองราชสมบัติแทนคือพระลอ ทรงเป็นเจ้าชายหนุ่มสง่างามเป็นที่เลื่องลือ ถึงขนาดมีผู้แต่งเป็นบทเพลงสรรเสริญขับขานขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ แม้แต่พระเพื่อน พระแพง พระราชธิดาทั้งสองของท้าวพิชัยพิษณุ เจ้าเมืองสรอง ซึ่งเป็นศัตรู เพียงได้ยินได้ฟังคำร่ำลือก็ยังหลงใหลจนตรอมใจไม่เป็นอันกินอันนอน เป็นเหตุให้พี่เลี้ยงทั้งสองของพระราชธิดา คือนางรื่น นางโรย ต้องช่วยเหลือด้วยวิธีให้กวีแต่งบทเพลงพรรณาความงามของพระเพื่อนพระแพง เรียกร้องความสนใจจากพระลอบ้าง พร้อมทั้งไปขอให้ปู่เจ้าสมิงพรายผู้วิเศษประจำเมือง ให้ช่วยทำเสน่ห์เรียกพระลอมาหาพระราชธิดาทั้งสอง แต่ทางเมืองแมนสรวงก็มีหมอสิทธิชัยมาแก้ไขได้  ท้ายสุดปู่เจ้าสมิงพรายจึงใช้กองทัพผีเข้าโจมตีเหล่าเทวดาที่คุ้มครองเมืองแมนสรวง พร้อมทั้งเสกสลาเหินมายังเชี่ยนหมากของพระลอ

เมื่อเสวยหมากเสกเข้าไป ด้วยอำนาจมนตราอันเปี่ยมฤทธานุภาพ พระลอจึงไม่สามารถทนทานอยู่ได้ ต้องเสด็จออกเดินทางจากเมืองแมนสรวงมาพร้อมกับนายแก้วนายขวัญ สองมหาดเล็กคู่พระทัย แม้ว่าพระมารดาและพระมเหสีจะพยายามทัดทานอย่างไรก็ไม่เป็นผล

 หนทางมายังเมืองสรองต้องข้ามแม่น้ำกาหลง พระลอทรงตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงทายในแม่น้ำ ปรากฏว่าสายน้ำเกิดเปลี่ยนสีเลือดเสมือนเป็นลางร้าย แต่กระนั้นพระลอยังทรงบากบั่นมุ่งหน้าต่อไปด้วยขัตติยะมานะและแรงแห่งเวทมนต์สะกด

เมื่อใกล้ถึงเมืองปู่เจ้าสมิงพรายเสกไก่แก้วมาชักนำพระลอเข้าไปจนกระทั่งถึงสวนขวัญ อุทยานหลวงในพระราชวังของเมืองสรอง  สองมหาดเล็กนายแก้วกับนายขวัญปลอมตัวเข้าไปสืบข่าวจนได้พบรักกับนางรื่นนางโรยพี่เลี้ยง  ก่อนจะช่วยกันลักลอบพาพระลอเข้าไปพบกับพระเพื่อน พระแพงจนได้ผูกสมัครรักใคร่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันภายในพระตำหนัก

 แต่ความลับไม่มีในโลก ครึ่งเดือนผ่านไป ความก็ทราบถึงท้าวพิชัยพิษณุกร และพระนางดาราวดี พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระเพื่อนพระแพง เสด็จมาพบ แม้ในตอนแรกจะทรงกริ้วแต่เมื่อพระลอทูลขอพระราชทานอภัย ด้วยรูปโฉมงามสง่าของพระลอและชาติตระกูลที่คู่ควรกันกับพระธิดา ท้าวพิชัยพิษณุไม่เพียงพระราชทานอภัยโทษ ยังเตรียมหาฤกษ์อันเหมาะสมเพื่อจัดงานอภิเษกให้พระลอกับพระเพื่อนพระแพงอย่างสมพระเกียรติต่อไป

เรื่องราวคล้ายจะจบด้วยดี ทว่าเจ้าย่าซึ่งเป็นมเหสีของท้าวพิมพิสาคร เจ้าเมืององค์ก่อนซึ่งถูกพระราชบิดาของพระลอสังหารในการรบ  เมื่อทราบข่าวก็ไม่พอใจ เพราะยังมีความอาฆาต หลังจากทูลทัดทานท้าวพิชัยพิษณุกรไม่สำเร็จ จึงแอบอ้างพระบรมราชโองการสั่งระดมทหารเข้ามาล้อมสวนขวัญเพื่อจับพระลอฆ่าล้างแค้นให้ได้ พระเพื่อน พระแพงจึงปลอมองค์เป็นชาย พร้อมด้วยนายแก้วนายขวัญ นางรื่นนางโรย พากันจับดาบขึ้นต่อสู้ ตีฝ่าวงล้อมของทหารออกไป

 แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ไม่นานเหล่ามหาดเล็กและพี่เลี้ยงทั้งสี่ต่างก็ถูกลูกธนูล้มตายหมดสิ้น คงเหลือเพียงพระลอ และพระเพื่อนพระแพงที่สู้พลางหนีพลางไปจนมุมที่ประตูเมือง  กระนั้นต่างยังคงยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่สู้ยิบตา

กระทั่งวาระสุดท้ายที่ถูกลูกธนูอาบยาพิษซึ่งระดมยิงเข้ามาเป็นห่าฝนสิ้นพระชนม์ในลักษณะยืนพิงประตูเคียงข้างกันสามพระองค์

ท้าวพิชัยพิษณุทรงทราบข่าวก็พิโรธสั่งให้จับเจ้าย่าประหารชีวิต   พร้อมทั้งได้ส่งพระราชสาส์นแจ้งข่าวเรื่องพระลอไปยังเมืองแมนสรวง หลังจากจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติแล้ว ก็โปรดฯ ให้สร้างสถูปเจดีย์บรรจุพระอัฐิของพระลอและพระเพื่อนพระแพงเอาไว้ด้วยกัน พร้อมทั้งสร้างเจดีย์บริวารที่บรรจุอัฐิของมหาดเล็กและพี่เลี้ยงไว้เคียงข้างอีกสององค์ 

โศกนาฏกรรมความรักเรื่องนี้เชื่อกันว่ามีเค้าโครงจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในดินแดนล้านนาช่วงประมาณปีพ.. ๑๑๑๖ -๑๖๙๓  เล่าขานสืบต่อกันมา ก่อนที่จะมีการนำเอามาแต่งเป็นวรรณคดีประเภทลิลิต มีความยาวถึง ๖๖๐ บท แต่ไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามว่าใครเป็นคนแต่ง ก็เลยมีการสันนิษฐานต่าง ๆ นา ๆ  ผู้สันทัดกรณีส่วนใหญ่คิดสอดคล้องไปในทางเดียวกันว่าเป็นวรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยา 

ที่เห็นไม่ตรงกันอยู่บ้างก็คือช่วงเวลาที่แต่งขึ้นมาครับ

บ้างก็ว่าแต่งในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พระเชษฐาธิราช (ระหว่างพ.. ๒๐๓๔- ๒๐๗๒)   บ้างก็ว่าน่าจะแต่งในสมัยพระชัยราชาธิราช (ระหว่าง พ.. ๒๐๗๗-๒๐๘๙)  บ้างก็ว่าแต่งในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ระหว่างพ.. ๒๑๙๙ ๒๒๓๑ ที่สันนิษฐานว่าแต่งขึ้นมาในสมัยรัตนโกสินทร์เรานี้เองก็ยังมี  ทว่าข้อหลังนี้ไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยเท่าไหร่

แต่ที่แน่ ๆ ก็คือลิลิตพระลอได้รับยกย่องให้เป็นสุดยอดของบทประพันธ์ประเภทลิลิต เรียบร้อยโรงเรียนวรรณคดีสโมสรไปตั้งแต่เมื่อปี พ.. ๒๔๕๙ โน้นแล้วละครับ

 จะว่าไปคงไม่มีใครหรอกกระมัง ที่จะไม่รู้จักวรรณคดีเรื่องนี้ ยกเว้นก็เฉพาะคนไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะในหนังสือเรียนวิชาภาษาไทยมีบรรจุเอาไว้เป็นบทเรียน ต้องเรียนทุกคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะบทที่ครูมักจะยกเป็นตัวอย่างของเสียงวรรณยุกต์ในการแต่งโคลงสุภาพบทที่ว่า เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย...นั่นแหละ ผมเองยังจำได้ว่าตอนเรียนเรื่องนี้สนุกมากเพราะคุณครูเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียด หลากหลายรสชาติจริง ๆครับ มีทั้งรักหวานซึ้ง โศกเศร้าเคล้าน้ำตา ผีสางเทวดา เวทย์มนต์คาถาอาคม ต่อสู้บู๊สะบั้นหั่นแหลก ครบครัน

แต่ละคนที่ได้อ่านก็เลยจะชอบไม่เหมือนกัน ถามผมว่าชอบตรงไหนเป็นพิเศษ  ก็เห็นจะต้องตอบว่าชอบช่วงสงครามไสยศาสตร์ระหว่างกองทัพผีที่ปู่เจ้าสมิงพรายส่งมาโจมตีเมืองแมนสรวงกับเทวดาอารักษ์ผู้คุ้มครองเมืองแมนสรวงนั่นแหละครับ เพราะพรรณาได้เห็นภาพดุเดือดตื่นเต้นระทึกใจในแบบแฟนตาซี แต่ถ้าไปถามคุณอภินันท์ บัวหภักดี บรรณาธิการภาพของอนุสาร อ... แล้วละก็จะได้คำตอบว่าชอบตรงบทอัศจรรย์เป็นพิเศษ เพราะใช้คำตรงไปตรงมาเรียกว่าออกไปทางแนวอีโรติก เข้าขั้นเรตเอ็กซ์ เรตอาร์  ชนิดไม่มีกบว. มาเซ็นเซอร์ ว่างั้น

ถึงตรงนี้ก็เป็นความชอบส่วนตัวของใครของมันละครับ อยากรู้ว่ารายละเอียดบทไหนเป็นไงคงต้องลองไปหาอ่านกันเอาเอง

 เจดีย์วัดศรีปิงเมือง เวียงลอ

รอยอดีตกับปริศนาเมืองพระลอ

            ผมหยุดรถลงตรงลานกว้างหน้าโบราณสถานเวียงลอ ในเขตอำเภอจุน จังหวัดพะเยา

 ประติมากรรมฝีมือแบบช่างพื้นบ้านรูปพระลอยืนถือดาบสองมือยังคงตระหง่านเด่นอยู่บนฐานสูง สะท้อนความเชื่อของผู้คนในท้องถิ่นที่ว่าเมืองโบราณแห่งนี้แหละ คือเมืองแมนสรวงของพระลอ

 จำได้ว่าสมัยเด็ก ผมเคยใฝ่ฝันจะมาเที่ยวเวียงลอเป็นนักหนา เพราะอ่านอนุสาร อ...ในยุคนั้นที่ยังเป็นเล่มบาง ๆ เย็บลวดแบบมุงหลังคา แล้วเจอข้อความที่พรรณนาถึงทุ่งลอว่าเป็นเมืองโบราณอันอุดมด้วยซากวัดวาอารามกับชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายเก่า ๆ  กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ก็เลยอยากมาดูอยากมาเห็นกับตา ตามประสาคนชอบดูของเก่าโบร่ำโบราณ

 นานนับสิบปีเลยทีเดียวกว่าฝันจะเป็นจริง เพิ่งมีโอกาสได้มาเห็นเวียงลอกับตาก็ตอนทำสารคดีเรื่องเที่ยวเมืองพะเยาเมื่อหลายปีก่อนนี่เองครับ ครั้งนั้นมาถึงก็แอบผิดหวังนิดหน่อย เพราะร่องรอยวัดวาอารามรวมทั้งชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายที่ว่ามีอยู่มากมายเต็มทุ่งนั้นมองไม่เห็นเสียแล้ว รอบข้างกลายเป็นชุมชน มีบ้านเรือนผู้คนเรือกสวนไร่นาเต็มไปหมด โบราณสถานที่เห็นได้ชัดเจนก็มีแต่เจดีย์ใหญ่ในวัดศรีปิงเมืองอยู่องค์เดียว  

ทว่ามาคราวนี้ถือว่าโชคดี เพราะผมเองได้ข่าวว่ามีโครงการขุดแต่งโบราณสถานในเขตเวียงลอกันขึ้นมาใหม่ช่วงที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่แว่วว่าจะมีการเตรียมนำเสนอกลุ่มเมืองโบราณแหล่งวัฒนธรรมล้านนาเป็นมรดกโลกหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ ก็คือบรรดาซากปรักหักพังของวัดอันคร่ำคร่าทั้งหลายในอาณาบริเวณของเวียงลอที่ว่ากันว่ามีไม่น้อยกว่า ๗๐ แห่ง เริ่มเผยโฉมออกมาปรากฏให้ผมได้เห็นหน้าค่าตาแล้วละครับ

 อาคารศูนย์ข้อมูลเวียงลอ



ที่น่าดีใจก็คือได้เห็นศูนย์ศึกษาข้อมูลเวียงลอเพิ่มขึ้นมา เป็นอาคารล้านนาประยุกต์ตั้งอยู่ในบริเวณวัดด้วย ลองเกร่เข้าไปดู เห็นประตูปิดล็อกกุญแจอยู่เงียบกริบ มากี่วันก็เห็นปิดตลอด ไม่รู้ว่าเคยเปิดให้ชมบ้างไหม  หวังว่าคงไม่ปิดถาวรเหมือนศูนย์ข้อมูลหลาย ๆแห่งที่เคยเจอนะ แต่คิดในแง่ดีบางทีศูนย์อาจจะยังไม่ได้เปิดให้บริการตอนนี้ก็ได้ คงรอให้ขุดแต่งวัดวาอารามต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อน

จากหน้าโบราณสถานเวียงลอผมลองขับรถเข้าไปตามถนนสายเล็ก ๆ ที่ทอดตัวลดเลี้ยวผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ เมื่อเห็นวัดกู่ศรีปิงเมืองโบราณสถานกับร่องรอยถูกขุดแต่งเมื่อไม่นาน เด่นอยู่กลางบ้านเรือนที่รายรอบด้วยฐานวิหารก่อด้วยอิฐ  แสดงว่าวัดวาอารามโบราณทั้งหลายที่ผมเคยได้ยินคำร่ำลือไม่ได้หายไปไหน จมอยู่ใต้ดินในหมู่บ้านนี้เอง แต่ก็มีบ้างบางแห่งที่ถูกแปรสภาพไปแล้ว อย่างมณฑปในสำนักสงฆ์หลักเมือง  แลดูน่าจะดัดแปลงมาจากซากโบราณสถานเดิมที่ไม่รู้ชัดว่าเป็นอะไร  มองเผิน ๆ ดูคลับคล้ายฐานเจดีย์อยู่ครามครัน

 ชิ้นส่วนพระพุทธรูปในบริเวณวัดมะม่วงแก้มแดง
 ฐานเจดีย์ใหญ่บริเวณกู่พระแก้ว

รถแล่นข้ามสะพานข้ามคลองคูเมือง ลอดแนวเงาไม้ร่มครึ้มก่อนโผล่ออกมาในท้องทุ่งเล็ก ๆ เขียวขจี ผมมองไปรอบ ๆ เห็นซากวัดร้างที่ถูกขุดแต่งเรียบร้อยแล้วเรียงรายอยู่หลายวัด พร้อมป้ายข้อมูลของกรมศิลปากรปักเอาไว้เสร็จสรรพ ฟากหนึ่งของถนนยังทำห้องน้ำแอบอยู่ใต้ร่มไม้เอาไว้ให้บริการด้วย

ลองเลี้ยวรถตามทางเข้าไปดู   วัดกู่พระแก้ว หลงเหลือฐานเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมแบบล้านนา พร้อมฐานวิหารขนาดใหญ่ ในขณะที่วัดมะม่วงแก้มแดง มีฐานวิหารขนาดย่อมลงมาหน่อย ภายในหลงเหลือชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายหลายองค์ หลายขนาด เรียงรายอยู่ตามแนวผนังวิหารที่หักพัง ท่ามกลางดอกหญ้าสีขาวล้อลมไสว มีท้องทุ่งเขียวและเทือกทิวเขาเป็นฉากหลัง แลดูคล้ายภาพเขียนสวยสบายตา มาสุดทางที่วัดพระเจ้าเข้ากาด ริมแม่น้ำที่บนถนนหน้าวัดมีข้าวเปลือกของชาวบ้านเอามากองแผ่ตากแดดเอาไว้เต็มไปหมด  ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขางอกงามอยู่บนฐานวิหารสูงซึ่งเหลือชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายตั้งอยู่องค์เดียว

 ลำน้ำที่ไหลผ่านกลางเมือง

           เวียงลอนั้นมีลักษณะเป็นเมืองอกแตกคือมีลำน้ำแม่อิงไหลผ่านกลางเมือง บริเวณที่ผมยืนอยู่นี้เป็นฝั่งแม่น้ำทางทิศใต้   มองไปฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำมีวัดร้างอีกหลายแห่งเป็นแถวเป็นแนวอยู่ ดูน่าสนใจ เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นหนทางใดจะข้ามฟากไปได้ ผมเลยต้องย้อนกลับออกมาถามหาทางข้ามจากชาวบ้าน

ใกล้ ๆ นี่มีสะพานข้ามฝาย แต่รถยนต์ไปไม่ได้นะ มันแคบ ข้ามได้แต่รถมอเตอร์ไซค์ หรือไม่งั้นก็ต้องเดินข้าม  อยู่ตรงโรงเรียนโน้นแน่ะ คุณป้าชาวชมรมผู้สูงอายุที่มาตั้งแผงลอยขายเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวอยู่หน้าโบราณสถานเวียงลอบอกกับผมพลางชี้ไม้ชี้มือ

 ขับรถไปตามทางที่คุณป้าบอก พักเดียวก็เห็นป้ายบอกทางเข้าไปยังโรงเรียนบ้านเวียงลอ    เลี้ยวไปตามทาง  ฝายกั้นแม่น้ำมองเห็นโดดเด่นตัดกับผืนฟ้าสีครามแต่ไกลทางซ้ายมือ บนฝายมีสะพานเหล็กแคบ ๆ อย่างที่ว่าเอาไว้  คะเนดูระยะทางจากฝายไปยังบริเวณวัดที่เห็นอยู่อีกฝั่งเมื่อกี้ ถือว่าไกลพอสมควรครับสำหรับการเดินไป แถมวัดแต่ละแห่งก็อยู่ห่างกันไม่น้อย

โชคยังดีที่ผมพกพาเอาจักรยานพับคันเก่งใส่รถมาด้วย 

จัดแจงจอดรถแอบเอาไว้ ก่อนจะยกเจ้าสองล้อพับคันเล็กออกจากหลังรถมากาง ปั่นฉิวข้ามสะพานเหล็กข้ามฝายมายังฝั่งเหนือของแม่น้ำ ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพราะเห็นไร่ข้าวโพด ข้าวฟ่าง แปลงผักของชาวบ้านเรียงรายเป็นระยะ โลดลิ่วโต้ลมเย็นด้วยสองแรงขาเลาะไปตามทางดินลูกรังสีแดงขนานลำน้ำใหญ่ ชั่วไม่กี่อึดใจก็ถึงกลุ่มโบราณสถานฝั่งเหนือของแม่น้ำ

 ฐานวิหารขนาดใหญ่ของวัดสารภี
 ซากปรักหักพังของวัดกู่เกือกม้า

วัดสารภี เป็นวัดแรกที่เห็นอยู่ขวามือ ขุดแต่งทางโบราณคดีเรี่ยมเร้เรไรแล้ว บนฐานวิหารก่ออิฐขนาดใหญ่เห็นมีชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายอยู่มุมหนึ่ง  ปั่นเลยลึกเข้าไปกลางทุ่งเขียวด้วยต้นข้าว ข้างเถียงนาหลังน้อยใต้ร่มไม้เป็นวัดกู่เกือกม้า ร่องรอยเหมือนเพิ่งจะขุดผิวดินที่ปกคลุมโบราณสถานออกมา  เจดีย์และวิหารอิฐขนาดเล็กที่หักพังทับถมกันอยู่ ยังไม่ได้แต่งเติมเสริมก่อ เวิ้งว้างอยู่กลางทุ่งนาได้อารมณ์ไปอีกแบบ

 จักรยานพับคันเก่งในบริเวณวัดศรีชุม

ปั่นจักรยานตามแนวคันนาเข้ามาถึงวัดศรีชุมซึ่งตั้งอยู่ลึกชิดติดแนวชายป่าละเมาะ ถือเป็นวัดใหญ่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของเวียงลอฝั่งเหนือครับ  ภายในอาณาบริเวณหลงเหลือซากอยู่ค่อนข้างครบถ้วน เข็นจักรยานผ่านแนวกำแพงและซุ้มประตูปรักหักพังเข้าไปพบกับซากเจดีย์เหลี่ยม ฐานวิหารก่ออิฐขนาดมหึมา ด้านบนประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายสร้างใหม่โดยผู้มีจิตศรัทธา เดินเตร็ดเตร่รอบ ๆ ได้บรรยากาศเหมือนค้นพบวัดโบราณร้างกลางป่า น่าตื่นเต้นยังไงก็บอกไม่ถูก 

ในสายตาของหลายคนเวียงลออาจจะเป็นโบราณสถานที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ เพราะไม่ใหญ่ ไม่แปลก แต่สำหรับผมแล้ว บอกได้เลยครับว่า ประทับใจกับความมีชีวิตชีวาของโบราณสถานที่อยู่ท่ามกลางแปลงผัก ท้องไร่ท้องนา ของเวียงลอเอามาก ๆ คิดดูสิครับ ขี่จักรยานเที่ยวไปก็ได้เห็นทั้งวัดวาอารามโบราณ กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นพร้อมกันไป   

น่าเสียดายที่การผจญภัยในเวียงเก่าด้วยจักรยานของผมต้องยุติลงกลางคันเพราะเวลาไม่เป็นใจ เพลิดเพลินอยู่ได้ไม่นาน ดวงตะวันก็ทิ้งตัวลงไปในกลับเมฆ ทำให้ผมต้องตัดใจปั่นสองล้อคู่ชีพกลับออกมา อยู่ในวัดร้างตอนมืด ๆ คงไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่  ไม่ได้กลัวอะไรหรอกครับ เดี๋ยวจะปั่นกลับออกมาตกหลุมตกร่อง ตีลังกาแข้งขาหักเพราะมองไม่เห็นทางน่ะ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ยังได้


แต่แล้วก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งครับ รุ่งขึ้นฝนตกลงมาซะงั้น ทั้งที่เป็นหน้าหนาวแท้ ๆ  รายการปั่นจักรยานชมเมืองเก่าของผมที่กำลังสนุกจึงเป็นอันต้องยกเลิก  ยังดีที่ไถ่ถามหาทางเข้าเวียงลอฝั่งเหนือทางถนนมาได้ ชาวบ้านชี้บอกให้ขับรถตามทาง อ้อมไปทางบ้านพวงพยอมพัฒนา มาเลี้ยวเข้าเวียงลอตรงปากทางที่มีจุดสังเกตคือป้ายชื่อวัดธาตุคีรีศรีเวียงลอ 


เป็นอันว่าต้องเปลี่ยนมาขับรถชมแทนครับ แต่ฝนก็ไม่ได้ตกกระหน่ำโหดร้ายจนเกินไป แค่โปรยปรายลงมาเป็นละออง รถคันเก่งพาผมย่องช้า ๆ ผ่านเจดีย์องค์ใหญ่ของวัดหนองห้าตรงปากทางย้อนเข้าไปตามทางลูกรัง

เริ่มต้นที่วัดหนองผำ อันอยู่ถัดจากวัดศรีชุมซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่ผมไปแวะเมื่อวาน ในบริเวณเป็นซากวิหารก่ออิฐ ตัววัดอยู่ชิดติดกับบึงเล็ก ๆ ซึ่งต้นไม้ดำทะมึนแผ่กิ่งก้านสาขา ยามครึ้มฟ้าครึ้มฝนอย่างนี้ยิ่งดูเหมือนเดินอยู่ในดินแดนประหลาดต่างมิติ ไม่ไกลจากกันเท่าใดเป็นวัดกู่บวกกู่ ชื่อแปลกดี ในวัดมีซากวิหารเล็ก ๆ พังทลายรวมกันเป็นกองอิฐอยู่ เห็นอย่างนี้ไม่แน่เหมือนกันว่าขุดแต่งแล้วอาจจะเจออะไรน่าสนใจก็ได้

 ซากพระพุทธรูปในอาณาเขตวัดเวียงป่าสัก

 เมฆหมอกสีขาวคลี่เข้าห่มคลุมทิวเขาสูงเบื้องหลังเมื่อผมลงจากรถเดินเข้าไปในวัดเวียงป่าสัก ที่ซ่อนตัวอยู่หลังแนวไร่ข้าวฟ่างสูงท่วมหัวเพิ่มความลึกลับน่าสนใจ ลุยเข้าไปก็ต้องตะลึงเพราะพบกับฐานวิหารก่ออิฐสูงเด่นอยู่ท่ามกลางดอกหญ้าขาวสะพรั่งบานเต็มลาน เมื่อรวมกับทิวเขาที่เป็นฉากหลังดูเหมือนกับเป็นภาพความฝันอันละมุนละไมของเมืองโบราณกลางม่านหมอก  ชวนให้จินตนาการล่องลอยไปแสนไกล กับเรื่องราวความรักที่ไม่มีวันตายของพระลอและพระเพื่อนพระแพง

ความจริงแล้วผมน่าจะ “อิน” ในบรรยากาศได้มากกว่านี้ครับ ถ้าไม่สะดุดอยู่ในใจ เรื่องที่เคยมีผู้สันทัดกรณีหลายท่านคัดค้านว่าเวียงลอไม่น่าจะใช่เมืองแมนสรวงของพระลอ ด้วยเหตุผลที่ว่าในลิลิตพระลอระบุไว้ชัดเจนถึงที่ตั้งของเมืองแมนสรวงว่าอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองสรอง ในขณะที่เวียงลอนั้นอยู่ทางเหนือขึ้นไป แถมในลิลิตยังกล่าวถึงการเดินทางของพระลอไปเมืองสรองว่าต้องข้ามแม่น้ำกาหลง แต่เส้นทางจากเวียงลอไปเวียงสรองไม่ต้องข้ามแม่น้ำกาหลงตรงไหนเลย

อ้าว…แล้วเมืองแมนสรวงของพระลอที่แท้อยู่ที่ไหน

            เมืองโบราณที่ผู้รู้หลายท่านได้สันนิษฐานเอาไว้ว่าน่าจะมีโอกาสเป็นเมืองแมนสรวงของพระลอได้แห่งแรกก็คือ เวียงกาหลง ในอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง เพราะว่าที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเวียงสรอง และชื่อเวียงกาหลงก็มาจากอยู่ใกล้กับแม่น้ำกาหลง ตรงตามเรื่องในลิลิตพอดี

 บรรยากาศลึกลับในวัดหนองผำ

            อีกเมืองที่ผู้เชี่ยวชาญท่านเสนอว่าเมืองที่น่าจะเป็นเมืองแมนสรวงได้ก็คือ เมืองโบราณในเขตอำเภอแม่สรวย โดยตั้งข้อสังเกตว่าชื่อแม่สรวยอาจจะเพี้ยนมาจากคำว่า แมนสรวงก็เป็นได้  ฟังดูก็คลับคล้ายคลับคลาเข้าท่าดีเหมือนกัน

            แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ยังหาหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันมายืนยันไม่ได้ครับ

 มาถึงวันนี้ก็เลยยังไม่มีข้อสรุปว่าเมืองแมนสรวงของพระลอที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบรรดานักวิชาการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักวรรณกรรม ฯลฯ ที่เกี่ยวข้อง เขาค้นหาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงกันต่อไป

 เถียงกันโดยไม่มีหลักฐานสนับสนุนมันไม่ได้อะไรหรอกครับ เผลอ ๆ จากที่เถียงกันว่าเมืองแมนสรวงอยู่ไหน กลายเป็นเถียงกันว่าตำนานพระลอกับพระเพื่อนพระแพงเป็นเรื่องจริงหรือไม่ใช่ไปโน่นเลยก็มี หนักเข้าไปอีก  

 ศาลาหลังเล็กสำหรับพักหลบแดดหลบฝน

พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวมีหน้าที่เดินทางอย่างสนุกสนานเท่านั้นก็พอครับ เวียงลอจะใช่เมืองแมนสรวงหรือเปล่าคงไม่สำคัญ  ที่แน่ ๆ ภาพของเวียงลอที่เห็นน่ะเป็นเมืองในรุ่นราวคราวเดียวกันกับเมืองแมนสรวงอย่างแน่นอน แค่นั้นก็เกินพอแล้วละครับสำหรับที่จะเป็นข้อมูลช่วยเสริมให้จินตนาการภาพเมืองของพระลอและเรื่องราวในวรรณคดีชัดเจนยิ่งขี้น เพิ่มรสชาติสีสันการเดินทางให้น่าสนใจ

อย่างน้อยก็สนุกกว่าแค่ขับรถไปดูเฉย ๆ โดยไม่รู้ ไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรเลย เป็นไหน ๆ แหละน่า

 อาณาบริเวณอันกว้างขวางของอุทยานลิลิตพระลอ อำเภอสอง

เวียงสรอง ถิ่นฐานตำนานรัก

ในขณะที่เมืองแมนสรวงของพระลออยู่ที่ไหน จะใช่เวียงลอหรือไม่ ยังไม่ค่อยแน่ใจกันนัก ทว่าเมืองสรองอันเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์ตำนานรักอันสะเทือนใจนั้น แทบไม่ต้องมีอะไรสงสัยครับ เพราะถึงแม้เวลาผ่านไปหลายร้อยปี ชื่อของเมืองสรองถือว่าเกือบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป นอกจากอักษร “ร” เรือ ตกหล่นหายไปกับกาลเวลาแค่เพียงตัวเดียว

ใช่แล้วครับ เวียงสรอง ในตำนาน ปัจจุบันนั้นอยู่ที่อำเภอสองในเขตจังหวัดแพร่นั่นเอง

 ก่อนออกรถเดินทางจากเวียงลอไปยังจุดหมาย ผมลองดูระยะทางจากหน้าจอเครื่องนำทางด้วยดาวเทียมหรือจีพีเอส เวียงลออยู่ห่างจากเมืองสรอง ๑๔๙ กิโลเมตร แต่ถ้าวัดตามระยะทางถนนจะอยู่ห่าง ๑๙๐ กิโลเมตร

แน่ะ เห็นไหมครับ ถ้าเที่ยวไปโดยมีหัวข้อเป็นประเด็นเรื่องราว เราก็จะมีรายละเอียดอะไรต่อมิอะไรให้เราสนุกกับการเดินทางได้ตลอดเวลา รู้อย่างนี้แล้วก็ต้องจินตนาการเห็นภาพว่าพระลอต้องบุกป่าฝ่าเขาลำเนาไพรไกลแค่ไหน เปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยพาหนะสมัยใหม่ของเรา แม้ถนนจะพาลดเลี้ยวอ้อมภูเขาไกลกว่า แต่ใช้เวลาอย่างมากแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเท่านั้น ส่วนพระลอ อย่างน้อยก็ต้อง ๑๐ วันขึ้นไป คำนวณจากการสมมุติว่านั่งช้างมานะครับนั่น ถ้าเดินเท้ายิ่งนานเข้าไปใหญ่ นี่แหละพลานุภาพแห่งความรัก ชักนำคนให้ดั้นด้นข้ามเขาเป็นลูก ๆ มาได้

และอาจจะเพราะด้วยความที่คนส่วนใหญ่ค่อนข้างจะแน่ใจว่าเมืองสรองในตำนานคืออำเภอสองในปัจจุบันนี่แหละ ทำให้มีการก่อสร้างอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในวรรณคดีเป็นที่ระลึกถึงความรักอมตะของพระลอกับพระเพื่อนพระแพงอยู่ทั่วไป

 ประติมากรรมชิ้นงาม พระลอและพระเพื่อนพระแพง

 ใหมเอี่ยมล่าสุดก็คือ อุทยานลิลิตพระลอ ที่ผมกำลังมุ่งหน้าไปนี่แหละครับ ว่ากันว่าสร้างขึ้นในเขตเมืองสรองโบราณกันเลย ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.. ๒๕๔๙ เพิ่งผ่านมาได้ปีกว่า ๆ เท่านั้น

เลี้ยวรถเข้ามาในบริเวณก็เห็น ประติมากรรมพระลอและพระเพื่อนพระแพงสามองค์ประทับยืนอิงพิงกันโดดเด่นแต่ไกล จำได้ว่าเป็นข่าวฮือฮากันอยู่ช่วงหนึ่ง เนื่องจากนักวิชาการทักท้วงกันว่าสร้างผิดไปจากเนื้อหาในวรรณคดี เพราะตามท้องเรื่องพระเพื่อนพระแพงนั้นทรงปลอมเป็นชายจับอาวุธออกต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพระลอ ตีฝ่าทหารที่มาล้อมตำหนักออกไป แต่รูปประติมากรรมพระเพื่อนพระแพงกลับแต่งองค์ในแบบสตรีล้านนา ไม่ได้แต่งเป็นชาย เท่าที่ผมมองดู ถ้าไม่คิดมากเรื่องรายละเอียดเครื่องแต่งกาย ก็นับว่าฝีมือการสร้างนั้นได้สัดส่วนสวยงามดี

บนพื้นที่ทั้งหมด ๓๓ ไร่ เห็นเขาว่ามีโครงการจะปรับภูมิทัศน์ ทำเป็นอุทยานและมีการสร้างจุดสนใจต่าง ๆ ตามเหตุการณ์สำคัญในวรรณคดีลิลิตพระลอรวม ๑๓ แห่ง เอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ท่ามกลางไม้ดอกไม้ประดับนานาพรรณ แต่ตอนนี้เพิ่งเริ่มสร้างไปได้แค่ ๑๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

 อาคารที่ทำการอุทยานลิลิตพระลอ

นอกจากอนุสาวรีย์ที่เห็น ก็มีอาคารชั้นเดียวแบบล้านนาประยุกต์ใช้เป็นที่ทำการประชาสัมพันธ์อุทยานลิลิตพระลอ ลองเดินเข้าไปข้างใน เห็นจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดที่ชนะประกวดในหัวข้อลิลิตพระลอ มีทั้งฝีมือเด็กและผู้ใหญ่ แต่ละคนวาดกันสวย ๆ ทั้งนั้น ดูแล้วภาพพระลอ กับพระเพื่อนพระแพงมีหลายเวอร์ชั่น ตั้งแต่ในแบบจิตรกรรมไทยประเพณี แบบภาพเหมือน แบบการ์ตูนวอลท์ ดิสนีย์ แบบการ์ตูนญี่ปุ่นก็ยังมี ดูเล่น ๆ ก็เพลินดีเหมือนกัน

มุมหนึ่งเป็นตู้กระจกจัดแสดงโบราณวัตถุที่พบภายในบริเวณอุทยานฯ เท่าที่เห็นก็เป็นข้าวของเครื่องใช้ของคนในสมัยก่อน จำพวกเศษชิ้นส่วนเครื่องเคลือบดินเผา ที่มีมากคือกล้องยาสูบดินเผา แสดงให้เห็นว่าแถบเมืองแพร่นี้คงทำอาชีพเกี่ยวข้องกับยาสูบมาแต่โบราณ  กระทั่งทุกวันนี้บนเส้นทางที่ผมขับรถผ่านยังเห็นมีโรงบ่มใบยาสูบเก่าร้างอยู่หลายแห่ง

 เจ้าหน้าที่ของศูนย์ ฯ เป็นวัยรุ่นสาวสวย ตากลมโตด้วยคอนแท็กเลนส์ บิ๊กอายส์ รุ่นใหม่ทันสมัยเปี๊ยบเข้ามาทักทาย พอเห็นผมสนใจของในตู้ ก็ชักชวนพาเดินออกไปด้านนอก ไปดูแถวประตูเมืองรึยังคะ พวกแบบนี้ยังมีอยู่อีกเยอะเลยค่ะ เดี๋ยวจะพาไปดู

สองคนพากันเดินผ่านแนวไม้ ย่ำไปบนใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นปกคลุมอยู่ มัคคุเทศก์สาวชี้ให้ผมดูตามพื้นดินที่เศษกระเบื้องแตก อิฐหัก กระจัดกระจายเกลื่อนกล่นบนผิวดิน  นี่ถ้าขุดค้นทางโบราณคดีคงจะได้ข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย  ลดเลี้ยวผ่านแนวไม้พักเดียวก็ถึงเนินดินสูงริมแม่น้ำ มองไปฝั่งตรงข้ามเป็นท้องทุ่งกว้างเห็นชาวบ้านกำลังทำนากันอยู่ขะมักเขม้น

แม่น้ำที่เห็นคือแม่น้ำกาหลงค่ะ บนนี้เป็นแนวกำแพงเมือง ตรงที่เรายืนอยู่คือประตูเมืองที่พระลอและพระเพื่อนพระแพงหนีทหารที่ล้อมจับมาจนมุมตรงนี้ ก่อนจะถูกยิงด้วยลูกศรยืนสิ้นพระชนม์พิงประตูทั้งสามองค์  ผมฟังแล้วก็จินตนาการเห็นภาพตาม เรื่อยเปื่อยต่อไปถึงขนาดว่าตรงไหนหนอที่เป็นสวนขวัญ ทางไหนกันนะที่พระลอแอบเข้ามา  แล้วตำหนักของพระเพื่อนพระแพงล่ะอยู่ตรงไหน เสียดายตรงที่ยังไม่มีการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณที่เป็นเวียงสรองนี่เป็นเรื่องเป็นราว ถ้าได้เห็นร่องรอยหลักฐานจะยิ่งช่วยให้จินตนาการเห็นภาพได้ชัดเจนเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นอีกเยอะครับ

เดี๋ยวจะพาไปดูศาลปู่เจ้า ฯ นะคะ เสียงหวาน ๆ  ดึงผมกลับมาจากห้วงจินตนาการอันบรรเจิด


ระหว่างเดินตามมัคคุเทศก์ลัดตัดทุ่งไป ผมสงสัยขึ้นมาอีกเมื่อเห็นว่ามีพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ครึ่งองค์ประดิษฐานอยู่กลางลาน สอบถามได้ความว่า เมื่อก่อนพื้นที่ตรงนี้เคยใช้เป็นค่ายลูกเสือ สำหรับกิจกรรมออกค่ายพักแรมกัน



ศาลไม้ชั้นเดียวเล็ก ๆ สร้างแบบง่าย ๆ ตั้งอยู่บนแนวกำแพงดินที่ปรากฏตรงหน้าคือ ศาลปู่เจ้าสมิงพราย ดูแล้วคงไม่ใช่ตำแหน่งที่ปู่เจ้าอยู่จริง ๆ ในวรรณคดีหรอกครับ ในศาลมีพวงมาลัยดอกไม้ธูปเทียนปักอยู่เต็ม

ใครที่ยังไม่มีคู่ มาอธิษฐานขอจากปู่เจ้าสมิงพรายก็จะได้มีคู่ ท่านศักดิ์สิทธิ์นะคะ ขอได้กันไปหลายคนแล้ว มัคคุเทศก์สาวยืนยันอย่างมั่นใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าในบรรดาคนที่ขอได้มีน้องเขารวมอยู่ด้วยหรือเปล่า(ไม่กล้าถามครับ เกรงใจ)

แว่ว ๆ มาว่าปีนี้จะมีการสร้างถ้ำปู่เจ้าสมิงพรายขึ้นในบริเวณอุทยานลิลิตพระลอนี่แหละครับ งบประมาณถึง ๑๕ ล้านบาท เฉพาะถ้ำอย่างเดียวนะ ท่าทางจะอลังการงานสร้างไม่เบา แต่ความจริงน่าจะลองขุดค้นทางโบราณคดีกันดูก่อนมากกว่า เดี๋ยวสร้างแล้วเกิดเจออะไรสำคัญขึ้นมาต้องรื้อทิ้งก็น่าเสียดายงบประมาณ
 
เดี๋ยวออกไปอย่าลืมขึ้นไปตรงเนินโน้นด้วยนะคะ เป็นจุดชมวิวค่ะ  มองเห็นแนวกำแพงโบราณทั้งสามชั้นได้ชัด แต่กำแพงไม่ได้เป็นกำแพงอิฐนะเป็นกำแพงดิน เพราะเป็นเมืองโบราณ คุณน้องประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลจนนาทีสุดท้าย ก่อนที่ผมจะอำลาออกจากอุทยานฯ  

 วัดพระธาตุพระลอ

ขับรถเลยเข้ามาอีกหน่อยก็ถึง วัดพระธาตุพระลอ  

เจดีย์ขนาดไม่ใหญ่ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานที่บรรจุอัฐิของพระลอและพระเพื่อนพระแพงตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่  โดยมีประติมากรรมพระลอและพระเพื่อนพระแพงถูกลูกศรปักยืนอิงพิงกันสิ้นพระชนม์ทาสีทองอร่าม ตั้งเด่นอยู่ด้านหน้า ฝีมือการปั้นเป็นแบบช่างพื้นบ้านไม่อลังการงานสร้างเท่าที่อุทยานลิลิตพระลอที่ผ่านมา แต่ก็สวยไปอีกแบบ
   
 ภาพแกะสลักไม้บนบานหน้าต่างวิหาร

บานหน้าต่างไม้ของวิหารแกะสลักเป็นรูปเรื่องราวในวรรณคดีพระลอตั้งแต่ต้นจนจบ ฝีมือแบบพื้นบ้านแต่เดินดูเล่น ๆ ก็สนุกสนานดีไม่น้อย โดยเฉพาะต้องพยายามตีความภาพที่เห็นว่าเป็นเรื่องราวตอนไหน เพลิดเพลินจนลืมเวลาไปเหมือนกัน
 คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่อันงดงามด้วยลวดลายฉลุไม้

ตะลอนรอบเวียงเมืองแพร่

            หลังจากตามรอยตำนานรักพระลอจนเป็นที่พอใจแล้ว ผมก็ถือโอกาสเลียบ ๆ เคียง  ๆ เที่ยวเวียงแพร่เสียด้วยเลย เพราะเท่าที่ผ่านมาถึงผมเองจะเคยแวะเวียนมาเมืองแพร่บ้างแต่ก็ไม่เคยเที่ยวชมอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก มาคราวนี้มีโอกาสก็ต้องขอลองสัมผัสให้ใกล้ชิดหน่อย

            จักรยานพับที่ติดรถมาด้วยมีประโยชน์อีกแล้วครับ

            เมืองแพร่เป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าขี่จักรยานเที่ยวเป็นที่สุด โดยเฉพาะในยามเช้า อากาศเย็นสบาย ถนนหนทางไม่ค่อยพลุกพล่านด้วยยวดยาน  นอกจากนั้นบนเส้นทางยังมีสถานที่น่าสนใจหลายแห่งให้แวะเที่ยวชมได้ ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามสำคัญหลายแห่งที่เรียงรายตามตรอกซอกซอยเต็มไปหมด 

 วัดพระบาทมิ่งเมือง

 วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร ที่ตั้งของเจดีย์มิ่งเมืองอันเก่าแก่ และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธโกศัยศิริชัยศากยมุนีประจำเมืองแพร่ วัดหลวงคู่บ้านคู่เมืองอันเป็นที่ตั้งของวิหารหลวงเก่าแก่ซึ่งสร้างพร้อมเมืองแพร่ และพระธาตุหลวงไชยช้างค้ำประดิษฐานพระธาตุจากเมืองหงสาวดี วัดสระบ่อแก้วและวัดจอมสวรรค์ ที่โดดเด่นด้วยศิลปสถาปัตยกรรมแบบพม่า 

นอกจากนั้นยังมีที่สำคัญอื่นเช่น ศาลหลักเมือง ที่มีจารึกเก่าสมัยพ่อขุนรามคำแหงพิพิธภัณฑ์บ้านวงศ์บุรี  บ้านไม้สักสองชั้นแบบยุโรปประยุกต์   พิพิธภัณฑ์คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่   อาคารไม้ฉลุลวดลายงดงามละออตาทั้งหลัง เดี๋ยวนี้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมได้ 

ผมใช้วิธีออกจากโรงแรมแต่เช้า ปั่นจักรยานเที่ยวในอาณาบริเวณรอบเขตเมืองเก่า ชมสถานที่สำคัญในเมืองจนพอใจ หาอะไรอร่อย ๆ ในตลาด กินเป็นมื้อเช้า  ก่อนกลับเข้าโรงแรม สาย ๆ ค่อยขับรถออกไปนอกเมือง

            แหล่งท่องเที่ยวนอกเมืองโดยรอบก็ไม่ไกลจนเกินไป  เสียดายผมมาคราวนี้วัดพระธาตุช่อแฮ กำลังอยู่ในระหว่างบูรณปฏิสังขรณ์ อีกทั้งยังมีงานฉลองพัดยศเจ้าอาวาส เนืองแน่นไปด้วยผู้คนล้นหลาม เลยขอผ่านเพราะเคยมานมัสการแล้ว  

เลี้ยวขวาเข้าไปวัดพระธาตุจอมแจ้งซึ่งอยู่ถัดเข้าไปอีกไม่ไกลแทน พระธาตุปิดทองอร่ามงามตาแต่ไกลคู่กับพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่กลายเป็นเอกลักษณ์พระธาตุจอมแจ้งไปแล้ว ไหว้พระธาตุแล้วเดินเตร็ดเตร่ไปมาในวัดพักใหญ่ ท่านเจ้าอาวาสก็กวักมือเรียกให้ผมไปดูเจดีย์เหลี่ยมบนฐานสูงแบบล้านนาตะหง่านอยู่ท่ามกลางดงใบไม้เปลี่ยนสีด้านหลังกุฏิพร้อมเล่าให้ฟังถึงประวัติความเป็นมา

องค์นี้ชื่อว่า เจดีย์นางแก๋วนางแมน พญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัยได้เสด็จมาบูรณะองค์พระธาตุจอมแจ้ง พระสนมของพระองค์ชื่อนางฟองแก้วและนางบัวแมนได้มาเสียชีวิต ที่นี่ พระองค์จึงทรงสร้างเจดีย์ไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึง  

            ใกล้กับเจดีย์มีรูปปั้นบรรดาเปรต อสุรกายรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดชวนสยดสยองเรียงราย ก็คล้าย ๆ กับที่เคยเห็นตามวัดวาอารามทั่วไป คือเป็นรูปปั้นจำลองเมืองนรกขุมต่าง ๆ

 เจดีย์นางแก๋วนางแมน

 สวรรค์จำลอง
 หนึ่งในประติมากรรมเปรต

 แต่ที่ผมชอบใจกลับเป็นสวรรค์จำลองที่อยู่ถัดออกมาทางด้านหน้ามากกว่า ถูกใจมากครับกับความคิดสร้างสรรค์ของช่างพื้นบ้านที่ก่ออิฐเป็นชั้น ๆ คล้ายเจดีย์ โดยสมมติให้แต่ละขั้นที่ลดหลั่นแทนสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ไล่จากต่ำสุดไปถึงสูงสุดตามลำดับ มีบันไดนาคพร้อมสรรพ วาดภาพประกอบเป็นวิมาน เทวดานางฟ้าในแต่ละชั้นเอาไว้ด้วยลายเส้นแบบช่างพื้นบ้าน สีสันลายเส้นจริงใจตรงไปตรงมา ดูแล้วคล้ายศิลปะเด็ก

เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบภาพจิตรกรรมประดับกระจกสีแบบไร้มารยาบนผนังวัดเชียงทองในเมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ก็คล้าย ๆ กันแบบนี้ ประทับใจฝรั่งดังระดับโลกไปแล้ว ใครผ่านมาไหว้พระธาตุก็อย่าลืมแวะเวียนมาดูของดีที่แอบซ่อนอยู่ด้วยก็แล้วกัน

 แพะเมืองผี ประติมากรรมธรรมชาติ

            แน่นอนครับ มาถึงแพร่ทั้งที ต้องไม่ลืมที่จะแวะเข้ามาดูแพะเมืองผี เห็นกี่ทีก็ยังไม่เบื่อครับกับภูมิทัศน์อันแปลกตาของเสาดินที่เกิดจากการกัดกร่อนของสายลม สายฝนและแสงแดด ก่อเกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติสูงท่วมหัว ชวนให้จินตนาการไปถึงดินแดนต่างมิติ  โดยเฉพาะยามเย็นที่แสงแดดสีทองสาดส่องทาบทาด้วยแล้ว ตระการตาอย่าบอกใคร

 พระธาตุสุโทน

 พระนอนแบบพม่า


            ที่เป็นของใหม่สำหรับผมสำหรับคราวนี้ก็เห็นจะเป็น วัดพระธาตุสุโทนเจดีย์  ที่สุดแสนอลังการงานสร้าง ขับรถเข้ามาก็เห็นพระนอนองค์ใหญ่สไตล์พม่าอ่อนช้อยงามจับตาแต่ไกล ขึ้นไปจอดรถใกล้ ๆ ยิ่งตาลายกับความอลังการของลวดลายและการประดับประดา

ผมแอบเรียกเล่น ๆ ของผมเองว่าวัดรวมฮิต เพราะภายในวัดรวบรวมเอาสิ่งที่เป็นจุดเด่นจากหลายยุคหลายสมัย รวมทั้งศิลปกรรมชิ้นเยี่ยม ๆ  ทั้งจากในและนอกประเทศ จำลองมารวมไว้ในที่เดียวกันอย่างผสมผสานกลมกลืน
 เทวดาหาบกระดึงแบบพม่า

 ยักษ์ทวารบาลสองฟากประตูทางเข้าวัด


เท่าที่เห็นก็มีพระบรมธาตุเจดีย์ ๓๐ ทัส ที่จำลองมาจากวัดพระธาตุหน่อจากแคว้นสิบสองปันนา ในประเทศจีน หอไตรจากวัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ซุ้มประตูโขงจากวัดพระธาตุหลวง จังหวัดลำปาง เทพนมปูนปั้นจากวัดเจ็ดยอดเชียงใหม่   หอระฆังจากวัดพระธาตุหริภุญชัย  ฯลฯ โอ๊ย จาระไนไม่หวาดไหวครับ

ต้องลองมาดูด้วยตาตัวเอง คนที่ได้ไปเที่ยวมาเยอะ เห็นมาแยะจะสนุกกว่า ตรงที่เห็นแล้วคลับคล้ายคลับคลาว่าชิ้นนี้เคยเห็นมาจากที่ไหน ส่วนคนที่ไม่ค่อยได้เที่ยว ไม่ค่อยเคยเห็นอะไร อาจจะไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่  แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นอะไรสวย ๆ งาม ๆ

ครับ แล้วการตามรอยตำนานรักพระลอของผมก็สิ้นสุดลงแต่เพียงนี้ แฮปปีเอ็นดิง

แต่เป็นการชั่วคราวเท่านั้นนะครับ มีข่าวคราวความคืบหน้าอย่างเช่น เจอหลักฐานใหม่ที่เกี่ยวข้องกับตำนาน หรือรู้แน่ว่าเมืองแมนสรวงของพระลออยู่ที่ไหน ฯลฯ

ถึงวันนั้นคงจะได้มาตามรอยตำนานกันใหม่


ขอขอบคุณ
อุทยานลิลิตพระลอ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ช่วยอำนวยความสะดวกจนสารคดีเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

เอกสารอ้างอิง
เชื้อชื่น ศรียาภัย. พระลอร้อยแก้ว.กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๑๖.
วรเวทย์พิสิฐ, พระ.คู่มือลิลิตพระลอ.พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพ ฯ : องค์การค้าของคุรุสภา , ๒๕๔๕.



คู่มือนักเดินทาง
ทางรถยนต์ จากกรุงเทพ ฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๑ แยกเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๑ ที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ผ่านจังหวัดนครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เข้าสู่จังหวัดแพร่ รวมระยะทางประมาณ ๕๕๑ กิโลเมตร

เวียงสรอง (อุทยานลิลิตพระลอ-วัดธาตุพระลอ) จากตัวเมืองแพร่ใช้ทางหลวงหมายเลข ๑๐๑ (แพร่-น่าน) ประมาณ ๒๔ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๑๐๓ อีกประมาณ ๑๘ กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าตามทางหลวงหมายเลข ๑๑๕๔ สู่อำเภอสอง

เวียงลอ จากอำเภอสองใช้ทางหลวงหมายเลข ๑๐๓ ไปเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๑ ไปทางอำเภองาว ตรงไปถึงเมืองพะเยาเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๐๒๑ ไปถึงอำเภอจุนแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๒๙๒ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามถนนอบต. พย. หมายเลข ๒๐๒๗ ก็จะถึงเวียงลอ