Tuesday, April 18, 2017

อุทยานธรณีสตูล มรดกธรณีระดับโลกแห่งแรกของไทย


ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...รายงาน
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐

          Geopark is not Geological site Geopark is peoples” พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือจีโอปาร์คไม่ใช่แค่แหล่งธรณีวิทยา แต่จีโอปาร์คคือวิถีชีวิตชุมชน เป็นสิ่งที่กรมทรัพยากรธรณีพามาดูในครั้งนี้ ว่าอุทยานธรณีจะส่งผลให้เกิดการอนุรักษ์และมีส่วนร่วมกับคนที่อยู่ในสตูลอย่างไร

            นายทศพร นุชอนงค์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณีกล่าวกับคณะสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทางทัศนศึกษา “อุทยานธรณีสตูล สู่อุทยานธรณีระดับโลก” เส้นทางแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา อำเภอทุ่งหว้า อำเภอมะนัง และอำเภอละงู จังหวัดสตูล ระหว่างวันที่ ๑-๓ มีนาคม ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา  ณ ศูนย์ประชาสัมพันธ์อุทยานธรณีสตูล  หน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า


           หลายปีมาแล้วที่กรมทรัพยากรธรณี ได้ทำการศึกษาสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับมรดกทางธรรมชาติทางธรณีวิทยาในประเทศไทย แล้วพบว่าพื้นที่จังหวัดสตูลมีความสมบูรณ์ทางด้านธรณีวิทยาอย่างน่าอัศจรรย์ คือเป็นทะเลโบราณ ปรากฏหลักฐานทางธรณีวิทยาและฟอสซิลสัตว์ทะเลดึกดำบรรพ์หลากหลายชนิด ครบถ้วนจากทั้ง ๖ ยุค อันได้แก่ แคมเบรียน ออร์โดวิเชียน ไซลูเรียน โดวิเนียน คาร์บอนิเฟอรัส และเพอร์เมียน ในมหายุคพาลีโอโซอิค ประมาณ ๕๔๒ – ๒๕๑ ล้านปีมาแล้ว เก่าแก่กว่ามหายุคมีโซโซอิคซึ่งเรารู้จักกันดีว่าเป็นช่วงเวลาไดโนเสาร์ครองโลก เป็นที่มาของการนำเสนอให้สตูลเป็นมรดกโลกทางด้านธรณีวิทยาในเวลาต่อมา

เพื่อความเข้าใจเบื้องต้นจึงได้มีการนำคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมภายในพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้ากันก่อน ภาพยนตร์สามมิติบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตโลกใต้ทะเลของมหายุคพาลีโอโซอิคอย่างสนุกสนาน พร้อมด้วยนิทรรศการที่สรุปพัฒนาการทางธรณีวิทยาอันต่อเนื่องมาถึงชุมชนในปัจจุบัน ช่วยให้เห็นภาพโดยรวมของแหล่งอนุรักษ์ทางธรณีเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จากนั้นจึงเป็นการเดินทางลงสู่พื้นที่เพื่อสัมผัสกับของจริงโดยรถตู้ที่ทางกรมทรัพยากรธรณีจัดเตรียมไว้ให้


บริเวณศาลทวดบุญส่ง ชาวบ้านสร้างศาลาครอบสิ่งที่มองเผิน ๆ คล้ายเจดีย์โบราณปรักหักพังเอาไว้  วิทยากรของกรมทรัพยากรธรณีชี้ให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งนี้คือ “หินสาหร่าย”  บนหินปูนเนื้อละเอียด ปรากฏชั้นหนาสีแดงส้มสลับกับแถบสีแดงเข้มเส้นบาง ๆ เป็นซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสโตรมาโตไลต์ (Stromatolite) จากยุคออร์โดวิเชียน แทรกอยู่ในเนื้อหินปูน ที่ทำให้น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือสโตรมาโตไลต์เป็นแหล่งอาศัยของไซยาโนแบคทีเรียที่ผลิตออกซิเจนให้กับโลกในยุคดึกดำบรรพ์ ในยุคก่อนหน้านี้ไม่มีออกซิเจน อยู่เลย การมีออกซิเจนขึ้นมาทำให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่ใช้ออกซิเจนในที่สุด



แหล่งฟอสซิลเขาน้อยเป็นอีกแห่งที่น่าอัศจรรย์ใจ อยู่ถัดมาอีกไม่ไกล บริเวณนี้เดิมเคยเป็นบ่อดินสำหรับขุดดินขาย แต่เมื่อกรมทรัพยากรธรณีมาสำรวจพบว่าในหินจำนวนมากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปปรากฏร่องรอยของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ในยุคแคมเบรียนและออร์โดวิเชียน ไม่ว่าจะเป็นไทรโลไบต์ แกรปโตไลต์ ฯลฯ ล้วนพบได้อย่างง่ายดาย เพียงกระเทาะเนื้อหินออกมาเท่านั้น ปัจจุบันจึงกลายเป็นแหล่งทัศนศึกษาเรียนรู้ด้านธรณีวิทยาของนักเรียนและนักท่องเที่ยวผู้ที่สนใจซากดึกดำบรรพ์แวะเวียนกันมาเยี่ยมชม



เช้ารุ่งขึ้นคณะสื่อมวลชนลงเรือออกสู่ท้องทะเลคราม มุ่งหน้าสู่เกาะลิดี อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ห่างออกไปในท้องทะเล ๕ กิโลเมตร พบกับการต้อนรับด้วยเพลง “ทะเลดึกดำบรรพ์”จากวงดนตรีกัวลาบาราของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครอุทยาน ฯ  บอกเล่าเรื่องราวของซากดึกดำบรรพ์สตูลในท่วงทำนองน่าฟัง  

ก่อนจะพากันเดินลัดเลาะผ่านหาดโคลนต้นลำพู  ตรงไปยัง ทะเลแหวก”แนวสันทรายเชื่อมต่อระหว่างเกาะลิดีกับเกาะหว้าหิน วางตัวในแนวทิศเหนือ-ใต้ ประกอบด้วยกรวดหินทรายขนาด ๕-๑๐ เซนติเมตร สะสมตัวเป็นความยาว ๑๐๐ เมตร โผล่ขึ้นเมื่อยามน้ำลง บนเกาะหว้าหินยังพบซากดึกดำบรรพ์หลายชนิดเช่น รูหนอน ฟอสซิลฟองน้ำ รวมทั้งร่องรอยทางธรณีวิทยาอีกมากมายที่น่าสนใจ

ขากลับเข้าสู่ฝั่ง เรือได้แวะเวียนไปลอยลำบริเวณเขาโต๊ะหงาย เพื่อให้คณะได้ชมแนวรอยสัมผัสระหว่างหิน ๒ ยุค คือหินทรายแดงยุคแคมเบรียน อายุประมาณ ๕๔๒ ล้านปี กับหินปูนยุคออร์โดวิเซียน อายุประมาณ ๔๘๘ ล้านปี   เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทำให้เห็นรอยต่อชัดเจนมาก หาดูได้ยาก เรียกว่าเป็น “ธรณีสองภพ” ซึ่งหากได้ขึ้นไปเดินบนสะพานข้ามกาลเวลา ที่สร้างเป็นทางเดินไว้โดยรอบแล้ว จะเสมือนหนึ่งสามารถก้าวย่างข้ามกาลเวลาจากยุคแคมเบรียนไปสู่ยุคออร์โดวิเชียนด้วยการก้าวเท้าเพียงก้าวเดียว 



ช่วงบ่ายแวะเข้าไปเยี่ยมเยือนชุมชนบ้านหนองปัญหยา ชุมชนเก่าแก่ที่เป็นแหล่งรวบรวมภูมิปัญญาในการทำสวดลายผ้าบาติก จัดตั้งเป็นกลุ่มแม่บ้านในชุมชนขึ้นมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ ความโดดเด่นคือได้มีการประยุกต์ลวดลายบาติกทำเป็นภาพสัตว์ดึกดำบรรพ์นานาชนิด เช่น แอมโมไนต์ ไทรโลไบต์ ลงบนเสื้อ ผ้าเช็ดหน้า และของที่ระลึกอีกหลากหลาย สมความกับความเป็น “ฟอสซิลแลนด์”ดินแดนดึกดำบรรพ์ของสตูล


บ่ายคล้อยชาวคณะสื่อมวลชนเดินทางเข้าไปสัมผัสกิจกรรมล่องเรือคายักเข้าถ้ำ อันเป็นสถานที่พบชิ้นส่วน ช้างสเตโกดอน” ช้างดึกดำบรรพ์จากสมัยไพลสโตซีน ประมาณ ๑.๘ ล้านปีก่อน  (เก่าแก่กว่าช้างแมมมอธ) แห่งแรกและแห่งเดียวในพื้นที่ภาคใต้ จากแต่เดิมชื่อ “ถ้ำวังกล้วย” จึงเปลี่ยนชื่อเป็นถ้ำเลสเตโกดอนเพื่อเป็นอนุสรณ์ ด้วยความยาวกว่า ๔ กิโลเมตร ถือเป็นถ้ำน้ำลอดที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดดเด่นทางด้านธรณีวิทยาเป็นอย่างมากเพราะภายในถ้ำยังมีการก่อตัวของหินงอกหินย้อยรูปทรงสวยงามแปลกตามากมาย ทั้งหลอดหินย้อย หินปูนฉาบ และม่านหินย้อย รวมทั้งร่องรอยของซากฟอสซิลดึกดำบรรพ์ต่าง ๆ  


แถมท้ายคลายร้อนด้วยการแวะชมน้ำตกธารปลิว ฉ่ำชื่นใจกับสายน้ำที่หลากไหลผ่านหน้าผาหินปูนยุคออร์โดวิเชียนที่เกิดจากการพอกตัวของคราบหินปูน เป็นแอ่งน้ำคล้ายทำนบลดหลั่นกันลงมาอย่างสวยงาม  
  


วันสุดท้ายชาวคณะมุ่งหน้าไปชมความยิ่งมใหญ่ของถ้ำภูผาเพชร แหล่งมรดกธรณีสำคัญอีกแห่ง  ภายในถ้ำกว้างมีเนื้อที่โดยรวมประมาณ ๕๐ ไร่ หรือประมาณ ๒๐,๐๐๐ ตารางเมตร โพรงถ้ำลดหลั่นเป็นสามระดับ แบ่งออกเป็นห้องเล็กห้องน้อยประมาณ ๒๐ ห้อง  แต่ละห้องมีหินงอกหินย้อยสวยงามอลังการ หลายแห่งมีประกายแวววาวเมื่อต้องแสงไฟ เป็นที่มาของสมญานาม “ถ้ำภูผาเพชร” 

สุดปลายถ้ำเป็นปล่องทะลุสู่ภายนอก ปากถ้ำเป็นหินก้อนใหญ่ มองดูไกล ๆ  คล้ายไดโนเสาร์ไทรันโนซอรัสนอนตายอยู่ ดูน่าตื่นตาตื่นใจ ภายในถ้ำมีการจัดการที่ดี โดยองค์การบริหารส่วนตำบลปาล์มพัฒนาได้สร้างสะพานทางเดินไม้ลัดเลาะไปตามแนวหินงอกหินย้อยป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวสัมผัส  พร้อมด้วยระบบไฟส่องสว่างที่จะทำงานเมื่อมีคนเดินผ่าน


ทาง UNESCO กำหนดเข้ามาตรวจสอบและประเมินคุณสมบัติของอุทยานธรณีสตูลในช่วงเดือนพฤษภาคม- มิถุนายนนี้ โดยหลักเกณฑ์ที่ใช้มีอยู่สี่ประการ ได้แก่คุณค่าความเป็นแหล่งทรัพยากรธรณีในระดับนานาชาติ (Geo Heritage) มีหน่วยงานในการดูแลและบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ ชุมชนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรณีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน และมีการศึกษาวิจัย ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในแหล่งทรัพยากรทางธรณี


นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูลคนแรก เปิดเผยว่า หลังเดือนกันยายน ๒๕๖๐ นี้คงจะทราบผลการประเมินอย่างเป็นทางการว่าผ่านหรือไม่  แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่ประการใด เพราะแนวคิดหลักในการประกาศเป็น Geo Heritage ของ Unesco คือต้องริเริ่มจากชุมชน ซึ่งที่สตูลนี้เป็นการเริ่มต้นจากชุมชนอย่างแท้จริง ดังจะเห็นว่าเน้นการอนุรักษ์และการพัฒนาเพื่อเศรษฐกิจชุมชน 

ในอนาคตที่จะถึงนี้ยังมีโครงการสร้างที่ทำการและพิพิธภัณฑ์อุทยานธรณีสตูลขึ้นบนพื้นที่ ๒๘ ไร่ ภายในอาณาเขตของมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล ในงบประมาณ ๖๐๐ ล้านบาท กำลังอยู่ในระหว่างของบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งความคืบหน้าของมรดกอุทยานธรณีโลกสตูลนี้ ทาง อนุสาร อ.ส.ท. จะได้ติดตามมานำเสนอต่อไป


Monday, April 17, 2017

อ.ส.ท. ของคุณป้า


ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนมกราคม ๒๕๖๐

            ร้านขายของชำเล็ก ๆ ในซอยชุมชนตรอกมะตูม ๑๐ อำเภอเมือง ฯ จังหวัดนครปฐม สงบเงียบอยู่ในแสงแดดยามสายของวันในต้นฤดูหนาว

“มารับหนังสือแล้วหรือ” คุณป้าละเอียด ปทุมารักษ์ เจ้าของร้าน เดินช้า ๆ ออกมาต้อนรับพร้อมกับรอยยิ้มใจดีบนใบหน้า

“วันนี้ฉันหาหนังสือลูกช้างทางใต้ยังไม่พบ พบหนังสืออนุสาร อ.ส.ท. ปี ๒๕๑๑ เดือนเมษา ฯ หน้าปกรัชกาลที่ ๑ หนังสือเหลืองกรอบเปิดแรงไม่ได้ ฉันอายุอีก ๒ เดือน ๗๐ ฉันเสียดายทุกตัวอักษรในเล่ม บทกลอนมีความหมายในเวลานี้เหลือเกิน อ.ส.ท.อยากได้คืนไหม เนื้อหาสาระมีประโยชน์ ถ้าต้องการฉันยินดี ไม่อยากให้ตายจากไปกับฉัน ลูกฉันก็ไม่รัก ไม่เคยหยิบอ่าน ถ้าไม่เอาก็ไม่เป็นไร” คือข้อความในไปรษณียบัตร ที่คุณป้าส่งมายังกองบรรณาธิการ อนุสาร อ.ส.ท. 

คุณป้าชี้ไปยังห้องเล็ก ๆ ใหม่เอี่ยม กั้นด้วยกระจกใสอย่างดี ด้านข้างของร้านชำ บนผนังภายในห้องด้านหนึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในกรอบสีทอง

            “วันที่ได้ข่าวในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต ป้าเสียใจมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยคิดกั้นห้องพิเศษขึ้นที่ชั้นล่างของบ้าน เพื่อรำลึกถึงพระองค์ท่าน ระหว่างทำห้อง เก็บข้าวของ ก็ค้นเจอ อนุสาร อ.ส.ท.ฉบับนี้ ที่ป้าเก็บไว้นานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยยังสาว ๆ ” 
             
             เล่าให้ฟังแล้วคุณป้าก็เดินเข้าไปหยิบหนังสือจากชั้นวางใต้พระบรมฉายาลักษณ์ในห้องกระจกออกมาวางลงบนโต๊ะ เป็นอนุสาร อ.ส.ท.ฉบับเก่ามากสองฉบับ สันปกยังเป็นแบบเย็บลวดมุงหลังคา ไม่ใช่แบบไสกาวแบบในปัจจุบัน

“ป้าเรียนจบจริง ๆ ไม่ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ หรอก เรียนที่โรงเรียนวัดพระประโทน นครปฐม ใกล้ ๆ บ้านนี่แหละ พอจะไปทำงานโรงงาน ต้องใช้วุฒิป. ๔ สมัคร เลยให้ผู้ใหญ่ช่วยไปขอจากทางโรงเรียน เขาก็ให้วุฒิ ป. ๔ มา...

อ่านไม่ค่อยออกนะ แต่ชอบอ่านหนังสือ ตรงไหนอ่านออกก็อ่าน ตรงไหนอ่านไม่ออกก็ข้าม ๆ ไปโดยเฉพาะ อ.ส.ท. นี่ชอบมาก ภาพสวย มีเนื้อหาสาระดี  ซื้อเป็นประจำ ตั้งแต่สมัยแรก ๆ ตอนไปทำงานโรงงานที่พระประแดงเลย เป็นโรงงานทอผ้าขนหนูของคนจีน อยู่ในซอยลึก วันไหน อ.ส.ท. ออก ป้าก็ไม่กินข้าวกลางวัน เพราะต้องเดินจากโรงงานออกมาซื้อที่ร้านหนังสือริมถนนใหญ่หน้าปากซอย จริง ๆ ต้องบอกว่าวิ่งออกมาเลย เพราะไกลมาก ตอนหลังย้ายมาทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานเย็บผ้า สอยเสื้อ ตัดเสื้อ ติดกระดุม แถวพาหุรัดตรงข้ามโรงเรียนสวนกุหลาบ เดี๋ยวนี้เลิกทำไปแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อยไม่ต้องวิ่งออกมาซื้อ เพราะร้านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ ได้เงินเดือนละร้อยบาท วันละ ๓ บาท ต้องทำงานสองวันนะถึงจะซื้อได้”


คุณป้าค่อย ๆ เปิดอนุสาร อ.ส.ท.เมษายน พ.ศ.๒๕๑๑ ฉบับพิเศษวันจักรี ตรงหน้าอย่างทะนุถนอม “เล่มนี้ป้ารักมาก เพราะทั้งเล่มมีภาพวาดในหลวงตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๙ ครบทุกรัชกาลเลย แล้วก็มีคำกลอนข้างใน เข้ากับช่วงเวลานี้จริง ๆ  ฉบับอื่นซื้อแล้วก็ไว้ที่ห้องพัก หายบ้าง คนอื่นยืมไปอ่านบ้าง แต่ฉบับนี้ยังอยู่ เพราะอ่านแล้วชอบมาก เลยถือกลับมาบ้านที่นครปฐมด้วยด้วย เก็บใส่กล่องไว้อย่างดี  

เอื้อมมือหยิบอีกเล่มขึ้นมาเปิดให้ดูภาพด้านใน “อีกเล่มที่รักมากคือเล่มนี้ ฉบับเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๕ ฉบับพิเศษสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ ท่านเสด็จกลับจากต่างประเทศ ป้าเปิดดูด้านใน เห็นภาพท่านทรงก้มกราบในหลวงกับพระราชินีที่สนามบินก็ซื้อเลยฉบับนี้ ประทับใจมาก” คุณป้าเล่าพลางสายตาเป็นประกายด้วยความปลื้มปิติขณะเปิดผ่านไปในแต่ละหน้า

“สองเล่มนี้แหละ คุณช่วยเอากลับไปเก็บไว้หน่อย ป้าเสียดาย อายุมากแล้ว เดี๋ยวตายไป ลูก ๆ ก็คงจะทิ้งขว้าง เขาไม่สนใจ ไม่เคยเห็นหยิบมาอ่าน”

ผมสังเกตเห็นบนหน้าปกฉบับพิเศษวันจักรีมีชื่อเขียนเอาไว้ด้วยลายมือ เลยถามว่าชื่อใคร คุณป้าอ่านดูแล้วตอบว่าชื่อลูกชาย  ชายหนุ่มที่เดินเมียง ๆ มอง ๆ อยู่นานแล้วจึงได้จังหวะเข้ามาร่วมวงคุยด้วย

“เล่มวันจักรีนี่ ผมเคยเอาไปทำรายงานที่โรงเรียน ข้างในมีข้อมูลดีมาก ครบเลย เอาไปแล้วก็เป็นห่วง กลัวหาย กลัวโดนขโมย ก็เลยเขียนชื่อเอาไว้ที่หน้าปกตั้งแต่ตอนนั้น” เล่าไปพลางเปิดดูในเล่มไปพลาง ด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากคุณป้าแม้แต่น้อย

สายตาที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับหนังสืออันเป็นที่รัก

ท้ายที่สุดผมอำลาคุณป้าละเอียด โดยไม่ได้นำเอา อนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเก่าทั้งสองฉบับกลับมาด้วย  เพียงความประทับใจจากเรื่องเล่าความผูกพันของคุณป้าและลูกชายกับ อนุสาร อ.ส.ท. ทั้งที่ได้รับฟังและได้เห็นด้วยสายตา ก็คุ้มค่ามากมายเกินพอ

อนุสาร อ.ส.ท. เก่าทั้งสองฉบับนั้นจึงยังคงถูกเก็บรักษาบนชั้นวางหนังสือเล็ก ๆ  ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ ๙  ในห้องที่สร้างขึ้นเพื่อถวายความอาลัย ด้วยความจงรักภักดีจากหัวใจของคุณป้า

เชื่อว่าคงไม่มีสถานที่แห่งใดในโลกจะดีและเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ร่วมบอกเล่าเรื่องราวความผูกพันระหว่างตัวคุณเอง คนในครอบครัว หรือคนที่รู้จักกับ พร้อมภาพถ่ายคู่กับ อนุสาร อ.ส.ท. ฉบับใดฉบับหนึ่งที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ (ไม่จำกัดว่าเป็นฉบับเก่าหรือฉบับใหม่) ความยาวไม่เกิน ๒ หน้ากระดาษ A 4 ส่งมาที่ อนุสาร อ.ส.ท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  เลขที่ ๑๖๐๐ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐ เรื่องราวที่ได้รับคัดเลือกลงตีพิมพ์จะได้รับของที่ระลึกพิเศษ Limited edition จากอนุสาร อ.ส.ท. พร้อมกับฉบับที่ได้ลงตีพิมพ์