Friday, October 25, 2013

กล้าเที่ยวกลางฝน ท่องถนนสู่ “ศรีเทพ ศูนย์กลางความเจริญแห่งลุ่มน้ำป่าสัก”



ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...รายงาน
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท.  

แม้ผืนฟ้าในยามเช้าจะมืดครึ้ม โปรยปรายด้วยละอองฝนไม่ขาดสายจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นวินเซนเต  แต่กระนั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งคณะเดินทางในโครงการสื่อมวลชนสัญจร “ศรีเทพ ศูนย์กลางความเจริญแห่งลุ่มน้ำป่าสัก” ที่จัดขึ้นโดยกรมศิลปากร ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ กรกฏาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา รถบัสพาหนะคันใหญ่ฝ่าสายฝนและการจราจรอันสุดแสนจลาจล ออกจากหน้ากรมศิลปากร ถนนหน้าพระลาน กรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดเพชรบูรณ์ อย่างช้า ๆ แต่มุ่งมั่นและมีจุดหมาย นั่นคือการเดินทางเพื่อเรียนรู้

          อาจเพราะด้วยแรงอธิษฐานของวิทยากรประจำรถ ที่บรรยายไปพลาง สวดอ้อนวอนไปพลางตลอดทาง ทำให้เทพยดาฟ้าดินเห็นใจ ฝนจึงพลันขาดเม็ดลงแทบจะทันใดเมื่อเดินทางถึงอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ  คณะสื่อมวลชนเข้าฟังบรรยายสรุปจากคุณพงศ์ธันว์ สำเภาเงิน หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ก่อนเยี่ยมชมศูนย์บริการข้อมูลของอุทยานฯ ซึ่งภายในจัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับนครโบราณแห่งนี้ไว้อย่างสวยงาม น่าสนใจ เพราะเรียงลำดับไปตามยุคสมัย เข้าใจได้ง่าย  


จากนั้นจึงพากันนั่งรถรางไฟฟ้า ลอดแนวอุโมงค์ต้นไม้เขียวชอุ่ม ออกไปตระเวนชมโบราณสถานภายในอาณาบริเวณเมืองใน ได้แก่ ธรรมจักรศิลากับโบราณสถานเขาคลังใน พุทธสถานอันงดงามด้วยปูนปั้นรูปคนแคระแบก ซึ่งเป็นหลักฐานความเจริญสมัยทวารวดี ปรางค์สองพี่น้องและปรางค์ศรีเทพ อันเป็นร่องรอยสถาปัตยกรรมร่วมสมัยเขมรโบราณ ปิดท้ายรายการด้วยการออกไปเยี่ยมชมโบราณสถานนอกเขตเมือง ทางด้านทิศเหนือของเมือง ได้แก่ ปรางค์ฤาษี  ศาสนสถานแบบเขมรโบราณอันงดงามอีกแห่ง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้ ในบริเวณวัดป่าสระแก้ว และอีกแห่งคือโบราณสถานเขาคลังนอก ฐานเจดีย์สมัยทวารวดีขนาดมหึมาที่โดยรอบประดับด้วยซุ้มปราสาทในรูปแบบศิลปะอินเดียแปลกตา

 โบราณสถานเขาคลังนอก

 ลายปูนปั้นเขาคลังใน อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ


ร่องรอยทั้งหมดทำให้เห็นถึงพัฒนาการของนครโบราณศรีเทพ ว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรือประมาณ ๒,๐๐๐ ปีก่อน ดังปรากฏโครงกระดูก ๕ โครงในหลุมขุดค้นกลางศูนย์บริการข้อมูลฯ เป็นหลักฐานในยุคแรก ก่อนจะพัฒนาขึ้นเป็นชุมชนเมืองด้วยการรับอิทธิพลอารยธรรมเขมรโบราณจากอาณาจักรเจนละ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ดังปรากฏหลักฐานเป็นเทวรูปในยุคสมัยนี้อยู่หลายองค์  ส่วนในระยะที่ ๓ จะรับเอาความเจริญของวัฒนธรรมทวารวดีจากภาคกลางในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ และเมื่อวัฒนธรรมทวารวดีเสื่อมลง เมืองศรีเทพก็หันไปรับเอาอิทธิพลอารยธรรมขอมโบราณสืบต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ กระทั่งถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จึงถูกทิ้งร้างไปโดยไม่ทราบสาเหตุ หลงเหลือเพียงร่องรอยความรุ่งเรืองทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

 วัดมหาธาตุ เพชรบูรณ์

 คณะทัศนศึกษาของเราพักแรมที่จังหวัดเพชรบูรณ์ในคืนแรก เพื่อตระเวนชมโบราณสถานภายในตัวเมืองในวันรุ่งขึ้น โดยเริ่มจากวัดมหาธาตุ พระอารามหลวง ในอำเภอเมืองฯ อันเป็นที่ตั้งของเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบสุโขทัย สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. ๑๙๒๖ ซึ่งที่นี่ นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้เดินทางมาต้อนรับคณะสื่อมวลชนด้วย  ต่อจากนั้นจึงเดินทางต่อไปสักการะองค์พระพุทธมหาธรรมราชา พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่อัญเชิญในพิธีอุ้มพระดำน้ำของจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประจำทุกปีที่วัดไตรภูมิ อารามสมัยกรุงศรีอยุธยาใจกลางเมือง อายุประมาณ ๔๓๔ ปี รวมทั้งชมแนวป้อมกำแพงเมืองโบราณสมัยอยุธยา และศาลหลักเมืองเพชรบูรณ์

ช่วงบ่าย หลังจากแวะชมภาพจิตรกรรมเก่าแก่ฝีมือช่างงดงาม เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทศชาติ บนผนังอุโบสถที่วัดศรีมงคล(วัดนาทราย) ในอำเภอหล่มเก่าเป็นรายการสุดท้ายของวันแล้ว คณะก็เดินทางบนถนนอันคดเคี้ยว ข้ามขุนเขาอันสลับซับซ้อน และสวยงามด้วยทิวทัศน์ทะเลหมอก เพื่อมาเข้าพักแรมที่จังหวัดพิจิตร

วัดโพธิ์ประทับช้าง

โบราณสถานในจังหวัดพิจิตรเองมีอยู่หลายแห่ง แม้ในวันรุ่งขึ้นสายฝนจะยังโปรยปราย ทว่าคณะสื่อมวลชนของเราก็ไม่ย่อท้อ คงมุ่งหน้าไปยังวัดโพธิ์ประทับช้าง ซึ่งมีประวัติว่าเป็นสถานที่ประสูติสมเด็จพระเจ้าเสือ ซึ่งประจักษ์พยานคือพระวิหารสูงใหญ่ สถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอนปลาย ล้อมรอบด้วยปรางค์ราย และแนวกำแพง๒ ชั้น  ก่อนจะมุ่งหน้าไป ชมอุโบสถเก่าที่เคยประดิษฐานหลวงพ่อเพชรที่วัดนครชุม แล้วเดินเท้าสบาย ๆ  ใต้ร่มเงาแมกไม้เขียวขจี เข้าไปภายในอุทยานเมืองเก่าพิจิตรที่อยู่ติด ๆ กัน   ชมวัดมหาธาตุ เมืองพิจิตรเก่า ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘

คณะทัศนศึกษา อำลาเมืองชาละวันด้วยการสักการะหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองพิจิตร เดินทางฝ่าสายฝนกลับสู่กรุงเทพมหานคร พร้อมกับความประทับใจจากการได้พบได้เห็นเรื่องราวจากอดีตกาล ผ่านร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งทั่วเมืองไทยยังมีอยู่อีกมากมายที่รอคอยให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเรียนรู้ เพื่อความภาคภูมิใจในความเป็นมาของชาติ


สนใจสอบถามข้อมูลแหล่งโบราณคดีและโบราณสถานสำคัญในลุ่มน้ำป่าสักได้ที่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร โทรศัพท์ ๐ ๒๒๒๔ ๒๐๕๐ และ ๐ ๒๒๒๔ ๔๗๐๒  ชมภาพถ่ายและวีดิทัศน์การเดินทางได้ที่ www.facebook.com/osotho


เปิดตัวอุทยานธรณีแห่งแรกของประเทศไทย “ผาชัน-สามพันโบก”

 ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...รายงาน



อุทยานธรณี หมายถึงพื้นที่ซึ่งประกอบไปด้วยแหล่งอันมีความโดดเด่นอย่างสำคัญทางด้านธรณีวิทยา รวมถึงแหล่งที่มีคุณค่าทางด้านโบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม ที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ  ทั้งที่อยู่บนบกและในทะเล  ซึ่งองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโกได้กำหนดขึ้น  

ปัจจุบันมีอุทยานธรณีของโลกกระจายอยู่ ๙๐ แห่งใน ๒๗ ประเทศทั่วโลก โดยอยู่ในพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาชนจีนถึง ๒๗ แห่ง ในขณะที่ในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน เพิ่งจะมีแหล่งที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นอุทยานธรณีอยู่แค่เพียง ๓ แห่งด้วยกัน คือเกาะลังกาวี สหพันธรัฐมาเลเซีย อ่าวฮาลอง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และเกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย

ในส่วนของประเทศไทย แนวความคิดในการจัดตั้งอุทยานธรณีเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกับหน่วยงานในท้องถิ่นทั่วประเทศ สำรวจ ศึกษาวิจัย และประเมินคุณค่าแหล่งธรณีวิทยาที่มีความโดดเด่นในแต่ละท้องถิ่น โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ตามที่ยูเนสโกกำหนด เสนอต่อคณะกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และศิลปกรรม เพื่อคัดเลือกเป็นพื้นที่จัดตั้งอุทยานธรณี  เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว จึงนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติกำหนดให้เป็นอุทยานธรณีระดับจังหวัดหรือระดับประเทศ


ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรนอกสถานที่ จังหวัดสุรินทร์ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ ให้จัดตั้งอุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอุทยานธรณีแห่งแรกของประเทศไทย

อุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบกครอบคลุมพื้นที่ใน ๓ อำเภอได้แก่ อำเภอศรีเมืองใหม่ อำเภอโพธิ์ไทร และอำเภอโขงเจียม ของจังหวัดอุบลราชธานี อันตลอดแนวเลียบลำน้ำโขง ปรากฏแหล่งภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่ก่อเกิดจากการสะสมตัวของตะกอนแม่น้ำประมาณ ๑๐๐ ถึง ๑๓๐ ล้านปี ผ่านการกัดกร่อนของสายน้ำและลมฟ้าอากาศ  ในอาณาบริเวณยังมีแหล่งอนุรักษ์สำคัญอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ วนอุทยานน้ำตกผาหลวง ผาชัน สามพันโบก สามหมื่นรู ถ้ำปาฏิหาริย์ ถ้ำมืด อุทยานแห่งชาติผาแต้ม 

การประกาศเป็นอุทยานธรณีนี้เป็นเพียงในนาม ไม่มีผลในด้านการบริหารพื้นที่ โดยเฉพาะบางส่วนซึ่งคาบเกี่ยวอยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติผาแต้มและอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพรรณพืช  เนื่องจากกรณีพื้นที่ใดอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของส่วนราชการใด ส่วนราชการนั้นยังคงเป็นผู้ดูแลจัดการเช่นเดิม ส่วนในพื้นที่ซึ่งไม่มีผู้ดูแล คณะทำงานจัดตั้งอุทยานธรณีจังหวัดจะเป็นผู้ดูแล

นอกจากอุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี  ยังมีพื้นที่เตรียมจัดตั้งเป็นอุทยานธรณีในอีก ๓ จังหวัดนำร่อง ได้แก่ อุทยานธรณีจังหวัดขอนแก่น  อุทยานธรณีจังหวัดเลย และ อุทยานธรณีละงู-ทุ่งหว้า-มะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งจากการสำรวจของกรมทรัพยากรธรณี พบว่าทั่วประเทศไทยมีแหล่งธรณีวิทยาที่มีความโดดเด่นอยู่ทั้งหมดมากกว่า ๘๐๐ แห่ง อยู่ในระหว่างการสำรวจและประเมินแหล่งอนุรักษ์ในพื้นที่ เตรียมขอขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณีและนำเสนอให้ยูเนสโกพิจารณารับรองในลำดับต่อ ๆ ไปประมาณ ๒๒ แห่ง


ในการเปิดตัว ผาชัน-สามพันโบก อุทยานธรณีแห่งแรกของประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณี ได้จัดกิจกรรม “สื่อมวลชนสัญจร แหล่งอนุรักษ์ทางธรรมชาติทางธรณีวิทยาและแหล่งซากดึกดำบรรพ์” ในเส้นทางอุบลราชธานี –ผาชัน-สามพันโบก-ขอนแก่น ขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

การเดินทางครั้งนี้ได้นำสื่อมวลชนล่องเรือลำน้ำโขง ทัศนศึกษาเกาะแก่งบริเวณสามพันโบก ฟังการเสวนาเรื่อง “การจัดตั้งอุทยานธรณีของประเทศไทย หนึ่งในโอกาสเตรียมพร้อมรับ AEC”  ชมเสาเฉลียงบ้านผาชัน  จังหวัดอุบลราชธานี ก่อนเดินทางไปเยี่ยมชมซากดึกดำบรรพ์ที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร  พิพิธภัณฑ์ทางธรณีวิทยาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ หลุมขุดค้นซากดึกดำบรรพ์กระดูกไดโนเสาร์แห่งแรกของประเทศไทย ที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น  เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องอุทยานธรณีวิทยาสู่ประชาชน ผ่านทางสื่อมวลชนจากหลากหลายสาขา


การจัดตั้งอุทยานธรณีถือเป็นมิติใหม่ของการอนุรักษ์ธรรมชาติในส่วนของแหล่งธรณีวิทยา  ในอีกมุมหนึ่งยังเป็นการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยว อันจะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้คนและชุมชนในท้องถิ่นที่อุทยานธรณีตั้งอยู่ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่จะต้องมีการทำความเข้าใจกับชุมชนและนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนให้เห็นถึงคุณค่า เพื่อที่จะได้ช่วยกันดูแลรักษาความงดงามอันน่าตื่นตาตามธรรมชาติให้ยั่งยืนสืบต่อไป

หมายเหตุ สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานธรณีเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กรมทรัพยากรธรณี โทรศัพท์ ๐ ๒๖๒๑ ๙๕๐๐  โทรสาร ๐ ๒๖๒๑ ๙๖๐๒