Wednesday, November 23, 2016

ราชัน...ผู้ยาตรา ทั่วหล้าแผ่นดินสยาม


ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่อง คลังภาพถ่ายเก่า อนุสาร อ.ส.ท. ...ภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก

ไม่ใช่เพราะตัวเลขระยะทางรวมอันแสนยาวไกลในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์  หากแต่เพราะการเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์เป็นไปโดยพระมหากรุณาธิคุณเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทยเป็นสำคัญ
 
แม้จุดหมายปลายทางไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่  ไม่มีเส้นทางคมนาคมใด ๆ ตัดผ่าน เพียงแต่ที่นั่นมีประชาชนของพระองค์อาศัยอยู่  และประสบกับความทุกข์ยากในการทำมาหากิน  เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ พระองค์ก็จะเสด็จไปโดยมิทรงหวาดหวั่นต่อความทุรกันดารยากลำบากใด ๆ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับราษฎรของพระองค์


๑.
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชาวเขาในหมู่บ้านต่าง ๆ ทางภาคเหนือ บนดอยปุย ใกล้กับพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ในปีพ.ศ. ๒๕๐๘ ทอดพระเนตรเห็นชีวิตความเป็นอยู่อันแร้นแค้นของชาวเขาและสภาพป่าที่ถูกทำลายเพื่อปลูกฝิ่น พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริให้ตั้งสถานีวิจัยเกษตรหลวงอ่างขางขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ทำการวิจัยพืชเมืองหนาว เพื่อพระราชทานให้ชาวเขาปลูกแทนฝิ่น เป็นโครงการส่วนพระองค์ ชื่อว่า“โครงการหลวงพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา” โดยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ว่า

“...ถ้าสามารถช่วยชาวเขาปลูกพืชที่เป็นประโยชน์บ้าง เขาจะเลิกปลูกยาเสพติดคือฝิ่น ทำให้นโยบายการระงับปราบปรามการปลูกฝิ่นและการค้าฝิ่นได้ผลดี อันนี้ก็เป็นผลอย่างหนึ่ง ผลอีกอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมากก็คือ ชาวเขาตามที่รู้เป็นผู้ทำการเพาะปลูกโดยวิธีที่ไม่ถูกต้อง  ถ้าพวกเราทุกคนไปช่วยเขาก็เท่ากับช่วยบ้านเมืองให้มีความดี ความอยู่ดีกินดี และปลอดภัยได้อีกทั่วประเทศ เพราะถ้าสามารถทำโครงการนี้ได้สำเร็จ ให้เขาอยู่เป็นหลักแหล่ง สามารถที่จะมีความอยู่ดีกินดีพอสมควร และสนับสนุนนโยบายรักษาป่าไม้ รักษาดินให้เป็นประโยชน์ต่อไป ประโยชน์อันนี้จะยั่งยืนมาก...”


  โครงการส่วนพระองค์ดังกล่าว ได้เติบโตขึ้นเป็นโครงการหลวงในปี พ.ศ.๒๕๒๑โดยความร่วมมือจากจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนาโครงการหลวง พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนชาวเขาลดการปลูกฝิ่นและฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร ศูนย์แต่ละแห่งครอบคลุมพื้นที่ ๔-๙ หมู่บ้าน ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไป ไม่เพียงแต่ราษฎรในชุมชนแต่ละแห่งจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ผืนป่าต้นน้ำลำธารรายรอบพื้นที่โครงการหลวงที่ได้รับการฟื้นฟูสภาพให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ยังงดงามด้วยทิวทัศน์กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่ช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ลงไปยังชุมชนในท้องถิ่นอีกด้วย


“ที่เขายากจนต้องมาทำมาหากินในพื้นที่แห้งแล้งเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะมา แต่เพราะเขาไม่มีที่อื่นจะไป ที่ฉันช่วยเขา ไม่ใช่ว่าจะช่วยตลอดไป แต่ช่วยเพื่อให้เขาได้มีโอกาสช่วยตัวเองได้ต่อไป” คือพระราชดำรัสหลังจากพระองค์เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารในภาคอีสาน

พระองค์ทรงเข้าพระทัยดีว่าที่ชาวนา ชาวไร่ เกษตรกรในชนบทโดยเฉพาะบนแผ่นดินอีสานยากจนทนทุกข์เนื่องจากทำเกษตรกรรมไม่ได้ผลผลิต อันเนื่องมาจากขาดแคลนน้ำ จึงทรงทุ่มเทในการศึกษาหาหนทางแก้ปัญหา พัฒนาและจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อให้ราษฎรได้อยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

ที่บ้านกุดสิม ตำบลคุ้มเก่า  อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์  ดินแดนอันสุดแสนแห้งแล้ง ถึงขนาดต้องใช้น้ำค้างในการปลูกข้าว โดยใช้ไม้แทงลงในดิน แล้วจึงนำต้นกล้าข้าวปักดำลงในหลุม ตอนกลางวันต้นข้าวโดนแดดแรง จนยอดข้าวเหี่ยวเฉา ต้องรอจนถึงกลางคืน ได้รับน้ำค้าง ต้นข้าวถึงจะผงกยอดชูขึ้นได้ 



ในปีพ.ศ.๒๕๓๕  พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้าน  เสด็จไปยังกองข้าวที่ชาวบ้านเก็บเกี่ยวมา ทรงหยิบต้นข้าวจากกอง ๑ ต้น  ทอดพระเนตรสักครู่จึงรับสั่งว่า 

“ต้นข้าวเหล่านี้มีเมล็ดลีบ ในแต่ละรวงมีเมล็ดข้าวน้อย ผลผลิตข้าวที่ได้ไม่เพียงพอสำหรับการบริโภคในครัวเรือน ให้ชลประทานหาน้ำมา เพียงเพิ่มความชุ่มชื้นให้พื้นที่นา ก็จะช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวเพียงพอสำหรับการบริโภคในครอบครัวได้”

จากนั้นพระองค์พระราชทานแนวพระราชดำริให้ก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ำลำพะยังภูมิพัฒน์ด้วยการเจาะอุโมงค์ลอดใต้เขาภูบักดี ขนาดกว้าง ๓ เมตร สูง ๓ เมตร ยาว ๗๔๐เมตร แล้วสอดท่อเหล็กลอดเข้าไปในอุโมงค์ ส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยไผ่ อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ที่เอ่อท้นเหลือใช้อยู่ฟากหนึ่งของภูเขา มาเติมเต็มอ่างเก็บน้ำลำพะยังตอนบน เขตอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์  ในอีกฟากฝั่งของภูเขา เพื่อแบ่งปันน้ำให้กับพื้นที่เพาะปลูก เป็นการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพการใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่กรมชลประทานพัฒนาไว้แล้ว  ยังประโยชน์ครอบคลุมพื้นที่มากถึงประมาณ ๑๒,๐๐๐ ไร่ และทำให้ผลผลิตทางการปลูกข้าวของชาวนาเพิ่มมากขึ้นถึงสามเท่า 

อุโมงค์แห่งนี้ปัจจุบันได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ตามรอยพระราชดำริ ให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางด้านการบริหารจัดการน้ำ



"หากปล่อยทิ้งไว้ จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด"

พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสอย่างทรงเป็นห่วง เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังห้วยทราย  ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี   เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ แล้วทอดพระเนตรเห็นว่า จากที่เคยเป็นป่าไม้เขียวชอุ่ม อุดมสมบูรณ์  เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า โดยเฉพาะ “เนื้อทราย” ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากจนเป็นที่มาของชื่อ "ห้วยทราย"  ได้ถูกราษฎรเข้าบุกรุกทำลายป่า ปราบพื้นที่เพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรม ไม่หลงเหลือป่าไม้และสัตว์ป่า เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล และสภาพพื้นดินเสื่อมโทรม ทำการเกษตรกรรมไม่ได้ผล

จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้พื้นที่บริเวณห้วยทราย เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามแนวพระราชดำริห้วยทราย พัฒนาด้านป่าไม้อเนกประสงค์ พัฒนาเกษตรกรรมควบคู่ไปกับการปลูกป่า เพื่อฟื้นฟูสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรและปลูกป่า จัดสรรที่ทำกินให้ราษฎรที่ได้เข้ามาบุกรุกทำกินอยู่แต่เดิมให้ได้เข้าอยู่อาศัยและให้ความรู้กับราษฎร ให้ทำการเกษตรอย่างถูกวิธี รวมทั้งให้มีส่วนร่วมในการปลูกป่า ดูแลรักษาป่า ตลอดจนให้ได้รับประโยชน์จากผลผลิตของป่า เพื่อที่ราษฎรจะได้ไม่บุกรุกทำลายป่าอีกต่อไป

"...เป็นการสาธิตการพัฒนาเบ็ดเสร็จ หมายถึงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทุกด้านของชีวิตประชาชนที่จะหาเลี้ยงชีพในท้องที่จะทำอย่างไร และได้เห็นวิทยาการแผนใหม่ จะสามารถที่จะหาดูวิธีการจะทำมาหากินให้มีประสิทธิภาพ...ด้านหนึ่งก็เป็นจุดประสงค์ของศูนย์ศึกษาฯ ก็เป็นสถานที่สำหรับค้นคว้าวิจัยในท้องที่ เพราะว่าแต่ละท้องที่สภาพฝนฟ้าอากาศ และประชาชนในท้องที่ต่างๆ กัน ก็มีลักษณะแตกต่างกันมากเหมือนกัน..."

ในวันนี้ผลการศึกษาที่สำเร็จถูกจัดแสดงไว้ในลักษณะ  "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต"  เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ที่ผู้สนใจสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้และนำความรู้และวิธีการกลับไปประยุกต์ใช้กับพื้นที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี


อ่าวคุ้งกระเบน ตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี  ป่าชายเลนบริเวณนี้สภาพธรรมชาติเคยเสื่อมโทรมอย่างหนักจากการบุกรุกเข้ามาทำมาหากินของราษฏร

  เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๔  ราษฎรจังหวัดจันทบุรีร่วมทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามอัธยาศัย จึงทรงมีพระราชดำริแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมจัดทำโครงการพัฒนาอาชีพการประมงและการเกษตรในเขตที่ดินชายฝั่งทะเล จังหวัดจันทบุรี โดยใช้เงินที่ได้รับถวายเป็นต้นทุนดำเนินการ

   "ให้พิจารณาจัดหาพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรมหรือพื้นที่สาธารณประโยชน์เพื่อจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา เช่นเดียวกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน ให้เป็นศูนย์ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาในเขตที่ดินชายทะเล"

ปีพ.ศ.๒๕๒๕ จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน ขึ้นเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการศึกษาสาธิต และการพัฒนาในเขตที่ดินชายทะเล

ปัจจุบันศูนย์แห่งนี้เป็นเหมือนโรงเรียนต้นแบบการอนุรักษ์ป่าชายเลนของไทย มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเป็นสะพานไม้ทอดยาวเป็นระยะทาง ๑,๖๐๐ เมตรเข้าสู่บริเวณป่าชายเลนอันร่มรื่นเขียวขจี ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยความเพลิดเพลิน  



  พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรภาคใต้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแตปีพ.ศ. ๒๕๐๒  ที่จังหวัดนราธิวาส ราษฎรในหลายพื้นที่ของถวายฎีการ้องเรียนเรื่องที่ดินทำกิน ปัญหาคือดินเปรี้ยวจัด ชาวบ้านทำการเกษตรไม่ได้ผล

เมื่อทรงทราบถึงปัญหาและความทุกข์ยากของราษฎร ว่าเนื่องมาจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดนราธิวาส เป็นพื้นที่พรุที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือพรุบาเจาะและพรุโต๊ะแดง สภาพดินเป็นดินเปรี้ยวจัดไม่สามารถปลูกพืชได้ พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ศึกษาและค้นคว้าวิจัยหารูปแบบในการพัฒนาพื้นที่พรุให้ชาวบ้านสามารถใช้เป็นพื้นที่ทำกินได้
 
“ให้มีการทดลองทำดินให้เปรี้ยวจัด โดยการระบายน้ำให้แห้ง และศึกษาวิธีการแก้ดินเปรี้ยว เพื่อนำผลไปแก้ปัญหาดินเปรี้ยวให้แก่ราษฏรที่มีปัญหาในเรื่องนี้ ในเขตจังหวัดนราธิวาส โดยให้ทำโครงการศึกษา ทำลองในกำหนด ๒ ปี และพืชที่ทดลองควรเป็นข้าว...” 

เป็นพระราชดำรัสถึงวิธีการที่ทรงเรียกว่า “แกล้งดิน” ซึ่งแสดงถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์  โดยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อให้ดินปล่อยแร่ธาตุที่เป็นกรดออกมา กลายเป็นดินที่มีกรดจัด เปรี้ยวจัดจากนั้นจึงค่อยใช้น้ำชะล้างดินควบคู่ไปกับปูนอย่างที่ทรงเรียกว่า “ระบบซักผ้า” เมื่อใช้น้ำจืดชะล้างกรดในดินไปเรื่อย ๆ ความเป็นกรดก็จะค่อย ๆ จางลง จนสามารถใช้เพาะปลูกทำการเกษตรได้

 ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งรถรางเที่ยวชมศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ที่เป็นเสมือนโรงเรียนหรือศูนย์ฝึกอาชีพให้กับเกษตรกรภาคใต้  ในพื้นที่เต็มไปด้วยไร่นา สวนผักผลไม้ที่ปลูกไว้เพื่อสาธิตเป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้าน รวมทั้งยังมีการสาธิตการเลี้ยงสัตว์พื้นบ้านอย่าง เป็ด ไก่ แพะ และวัว รวมถึงการสาธิตวิธีการสกัดและแปรรูปน้ำมันปาล์ม เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก 


กล่าวได้ว่าไม่มีแผ่นดินไทยแม้แต่เพียงตารางนิ้วเดียวที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่เคยทรงย่างพระบาทไปถึง การเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ก่อให้เกิดโครงการในพระราชดำริเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชนมากกว่าสี่พันโครงการ

ภาพที่พสกนิกรชาวไทยคุ้นเคยต่อสายตาเป็นอย่างดีตลอดช่วงเวลาอันยาวนานถึง ๗๐ ปีในรัชสมัย ก็คือภาพของพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้  ประทับยืน  ประทับนั่ง และบางครั้งทรงคุกพระชานุอยู่ในใจกลางแวดล้อมราษฎรของพระองค์

“ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือคนไทยทั้งปวง” พระองค์เคยตรัสไว้ และเป็นความจริงเช่นนั้นตลอดมา

          กระทั่งในวันนี้ แม้เสด็จสู่สวรรคาลัย แต่พระองค์ก็ยังคงประทับอยู่ท่ามกลางพสกนิกรของพระองค์เสมอ

ในหัวใจของคนไทยทุกคน ตลอดชั่วกาลนาน...