Friday, July 3, 2020

เดินทางไขปริศนา “พญานาคศิลาต้องคำสาป” กับกรมทรัพยากรธรณี


 หินหัวพญานาคบริเวณถ้ำไชยมงคล

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓

            เรื่องราวของพญานาคหินขนาดยักษ์บนยอดภูลังกาเกิดฮือฮาขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากมีผู้โพสต์ภาพถ่ายลงในสื่อสังคมออนไลน์ ภาพหนึ่งเป็นหินลักษณะเหมือนท่อนลำตัวใหญ่มหึมาขดม้วนซ้อนกันแลเห็นเกล็ดเหลี่ยมเหมือนเกล็ดงูอย่างชัดเจน ในขณะที่อีกภาพเป็นก้อนหินใหญ่เต็มไปด้วยเกล็ดลักษณะเหมือนกับหัวงูขนาดยักษ์ เมื่อนำมาผนวกกับเรื่องราวตำนานความเชื่อของท้องถิ่น ทำให้เป็นที่โจษขานกันว่านี่แหละคือ “พญานาคศิลาต้องคำสาป” ในตำนาน บ้างก็ว่าเป็นฟอสซิลของงูยักษ์ล้านปีที่กลายเป็นหิน


นายสมหมาย เตชวาล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี



กรมทรัพยากรธรณีคือหน่วยงานที่เสนอตัวเข้ามาช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ โดยช่วงวันที่ ๒๔ – ๒๖ มิถุนายน ที่ผ่านมา นายสมหมาย เตชวาล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี พร้อมด้วยนายชัยพร ศิริพรไพบูลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านถ้ำ และนายประดิษฐ์ นูเล นักธรณีวิทยาชำนาญการ สำนักงานทรัพยากรธรณีเขต ๒  ได้นำคณะสื่อมวลชนจากหลากหลายสาขาร่วมเดินทางทัศนศึกษาในโครงการ “ตามรอยตีนไดโนเสาร์ที่นครพนม ชมหินเกล็ดพญานาคถ้ำนาคา ล่องนาวาน้ำตก ถ้ำพระที่ภูวัว แหวกดูตัวหินสามวาฬ ชมปรากฎการณ์ทะเลทรายในอดีตที่ภูทอก”  ในพื้นที่จังหวัดนครพนม-บึงกาฬ  

รูปปั้นไดโนเสาร์อิกัวโนดอนหน้าอาคารคลุมหลุมขุดค้น

            เที่ยวบิน FD3398 ของแอร์เอเชียในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New normal)  เหินฟ้านำคณะสื่อมวลชนเดินทางสู่จังหวัดนครพนมในเช้าตรู่วันแรก หลังจากแวะกราบสักการะพระธาตุท่าอุเทน ปูชนียสถานสำคัญในพื้นที่เพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายแรกคือ แหล่งเรียนรู้รอยตีนไดโนเสาร์ท่าอุเทน บ้านนากะเสริม ตำบลพนอม อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม บนทางหลวงหมายเลข ๒๑๒ (ท่าอุเทน-บ้านแพง) ห่างจากอำเภอท่าอุเทน ๒๗ กิโลเมตร

รอยตีนไดโนเสาร์ปรากฏชัดเจนบนแผ่นหิน 

เดิมบริเวณนี้เป็นบ่อเหมืองหินทรายแดง รอยตีนไดโนเสาร์ถูกพบในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖ จากหินทรายแดงที่ถูกระเบิดออกมาจากชั้นหินเพื่อไปใช้ถมตลิ่งริมแม่น้ำ ในเวลาต่อมาทางกรมทรัพยากรธรณีจึงได้ส่งคณะสำรวจไทย-ฝรั่งเศสเข้าไปศึกษาโดยละเอียด พบว่าในยุคดึกดำบรรพ์ประมาณ ๑๐๐ ล้านปีที่ผ่านมาพื้นที่นี้เป็นชายตลิ่งของแม่น้ำโค้งตวัดไหลไปทางทิศจะวันตกเฉียงเหนือ ลักษณะเป็นดินโคลน ยามหน้าแล้งไดโนเสาร์ที่ผ่านมาเหยียบย่ำลงไปฝากรอยตีนเอาไว้ เมื่อถึงหน้าฝนสายน้ำได้พัดตะกอนดินทรายเข้าทับถมแทรกอยู่ในรอยตีนเหล่านั้น เก็บรักษาผ่านกาลเวลายาวนานจวบจนถูกค้นพบในปัจจุบัน

 แนวหินทรายที่พบรอยตีนไดโนเสาร์สร้างหลังคาครอบอย่างดีพร้อมทางเดินชม

รอยตีนไดโนเสาร์ที่พบมีมากมายกว่า ๑,๐๐๐ รอย บน ๓๒ แนวทางเดิน ประทับอยู่บนชั้นหินตะกอนหมวดโคกกรวด ถือเป็นจุดที่พบรอยเท้าไดโนเสาร์มากที่สุดในประเทศไทย  จำแนกได้เป็น ๔ ประเภท  ๓๐ แนวทางเดินเป็นของไดโนเสาร์ ได้แก่ รอยตีนของไดโนเสาร์กินพืช (ซอโรพอด) คอยาว เดินสี่ขา รอยตีนของไดโนเสาร์อิกัวโนดอน ที่เดินได้ทั้งสองขาและสี่ขา นิ้วหัวแม่มือมีเดือยแหลมใช้เป็นอาวุธ รอยตีนของไดโนเสาร์ออร์นิโธมิโมซอร์ หรือไดโนเสาร์นกกระจอกเทศที่มักอยู่ด้วยกันเป็นฝูง วิ่งเร็ว รอยตีนที่พบมีสามนิ้วคล้ายรอยตีนไก่  ปลายนิ้วมีเล็บแหลมคม และรอยตีนจระเข้ ๒ แนวทางเดิน ซึ่งถือเป็นรอยทางเดินจระเข้ดึกดำบรรพ์ที่พบเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย   

 โฉมหน้าไดโนเสาร์นกกระจอกเทศเจ้าของรอยเท้าที่มีจำนวนมากที่สุด

ทั้งหมดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมทรัพยากรธรณีเป็นแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งแรกของประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ โดยได้สร้างอาคารคลุมแนวลานหินรอยตีนไดโนเสาร์ พร้อมทำสะพานทางเดินยกระดับคู่ขนานไปตลอดแนวลานหิน พร้อมป้ายสื่อความหมายให้ข้อมูลเป็นระยะสำหรับผู้เข้าชม รวมทั้งพัฒนาพื้นที่ทั้งหมด ๘ ไร่โดยรอบ สร้างอาคารศูนย์เรียนรู้ ประดับประดาด้วยรูปปั้นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ชนิดที่พบรอยตีนในบริเวณนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาสำหรับผู้สนใจ

 น้ำตกตาดขาม
 น้ำตกผาสวรรค์


จากนั้นคณะสื่อมวลชนเดินทางต่อไปยังจังหวัดบึงกาฬ ก่อนแวะเข้าไปที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา อันเป็นที่ตั้งของหิน “พญานาคศิลาต้องคำสาป” จุดหมายสำคัญของการเดินทาง แต่การขึ้นไปยังหินพญานาคฯ ดังกล่าวต้องใช้เวลามากเนื่องจากที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ในช่วงเย็นวันแรกจึงเป็นเพียงการเข้าไปชมน้ำตกตาดขาม สายธารอันงดงามชั้นเดียวที่นักท่องเที่ยวท้องถิ่นนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ และน้ำตกผาสวรรค์ สายน้ำที่หลากไหลจากหน้าผาหินตัดตรงดิ่งเขียวขจี
 
บันไดเหล็กสูงชันที่ทอดตัวขึ้นสู่ยอดภูลังกา



            ฝนซึ่งกระหน่ำอย่างหนักตลอดทั้งคืน ทำให้เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศเย็นสบาย เมฆฝนยังช่วยกรองแสงแดดอันแผดกล้าให้การเดินขึ้นสู่ยอดภูลังกาของชาวคณะไม่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปนัก จากจุดเริ่มต้นที่วัดถ้ำชัยมงคลเชิงเขาเส้นทางตัดผ่านผืนป่าร่มครึ้มเขียว ไต่ขึ้นไปตามขั้นบันไดสูงชันรวมประมาณ ๑,๒๐๐ ขั้น ตลอดระยะทางประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร 

 ทางเดินเข้าสู้ถ้ำนาคา
            
           ใช้เวลากว่า ๒ ชั่วโมง จึงถึงถ้ำนาคา อันเป็นที่ตั้งของหินพญานาคฯ ลักษณะเป็นถ้ำแคบ ๆ ที่เกิดจากการแตกแยกของชั้นหิน เดินลงไปในถ้ำตามทางลาดชันที่สองฟากเป็นผนังหินเขียวครึ้มด้วยมอสไลเคนเพียงไม่ไกล ก็พบหินที่มีพื้นผิวเป็นเกล็ดเหลี่ยมคล้ายลำตัวของงูขนาดใหญ่ขดอยู่ ลักษณะตรงกับภาพที่เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เมื่อพิจารณาดูในระยะใกล้จึงเห็นว่าเหมือนกับลำตัวพญานาคจริง ๆ
  
 อาจารย์ชัยพร  ศิริพรไพบูลย์ อธิบายถึงปรากฏการณ์ เกล็ดพญานาค


ไปพ้องเข้ากับเรื่องราว “ตำนานปู่อือลือนาคราช” แห่งบึงโขงหลง ที่เล่าว่าบริเวณบึงแต่เดิมเป็นที่ตั้งเมืองรัตพานคร มีพระอือลือราชาเป็นผู้ครองนคร  เจ้าชายฟ้ารุ่ง บุตรของพระอือลือราชา ได้อภิเษกสมรสกับนาครินทรานี พระธิดาพญานาคราชแห่งเมืองบาดาลที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ ต่อมานาครินทรานีล้มป่วย ทำให้ร่างกายกลับเป็นนาค แม้นางจะร่ายมนตร์คืนสภาพเป็นมนุษย์ได้ในที่สุด แต่ชาวเมืองและพระอือลือราชาต่างพากันหวาดกลัว ขับไล่นางให้กลับไปเมืองบาดาล พญานาคราชผู้เป็นบิดาจึงมาขอเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของนางคืน แต่พระอือลือราชาไม่คืนให้ ทำให้พญานาคราชโกรธแค้นมาก ตกกลางคืนจึงยกทัพขึ้นมาถล่มเมืองรัตพานครจนล่มสลายกลายเป็นบึงใหญ่  พระอือลือราชาถูกพญานาคราชจับตัวได้แล้วสาปให้กลายเป็นพญานาคหิน จนกว่าจะมี “เมืองใหม่” เกิดขึ้นจึงจะล้างคำสาปของพระยานาคราชได้  ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับการค้นพบหินพญานาคภายหลังการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬซึ่งถือว่าเป็นเมืองใหม่

 บรรยากาศแวดล้อมด้วยความเขียวขจี

            หากแต่ในทางวิชาการ จากการสำรวจของกรมทรัพยากรธรณี  พบว่าลักษณะทางธรณีวิทยาหินในบริเวณนี้ มีชื่อทางวิชาการว่า “หมวดหินภูทอก” ประกอบด้วยหินสลับเรียงเป็นชั้นรวม ๒ ชนิด คือหินทรายเนื้ออาร์โคสกับหินทรายแป้งเนื้อปนปูน  อายุประมาณ ๗๕-๘๐ ล้านปี  หินทั้งสองแบบสลับชั้นกันที่ความหนาประมาณ ๒๐๐  เมตร  เมื่อหินยกตัวขึ้นเป็นภูเขา น้ำฝนจะกัดกร่อนเฉพาะชั้นหินทรายแป้งเนื้อปนปูน เนื่องจากเป็นเนื้อหินละลายน้ำได้ ทำให้เกิดชั้นเว้าลักษณะคล้ายถ้ำ ขนานยาวไปตามภูเขา สลับกับชั้นหินทรายซึ่งไม่ถูกน้ำฝนกัดเซาะละลายนูนเด่นขึ้นมาเป็นส่วนที่เหมือนลำตัวพญานาค


ส่วนพื้นผิวที่เรียกกันว่า “หินเกล็ดพญานาค” เนื่องจากลักษณะเป็นรอยเหลี่ยมสม่ำเสมอตลอดทั่วบนพื้นผิวเหมือนเกล็ดงูขนาดใหญ่ ในทางธรณีวิทยาเรียกว่าปรากฏการณ์ “ซันแครก”(Suncrack) เกิดจากการแตกของผิวหน้าหินทรายจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่แตกต่างกันมาก ระหว่างช่วงกลางวันและกลางคืนอย่างรวดเร็ว ทำให้หินเกิดการขยายตัวและหดตัวสลับไปมา หินทรายที่เกิดจากเม็ดทรายขนาดใกล้เคียงกันเมื่อเวลาแตกก็จะมีรูปแบบของการแตกเป็นหลายเหลี่ยมอย่างมีระเบียบเท่ากันตลอด จึงมองดูเหมือนเกล็ดงูดังที่เห็น โดยหินเกล็ดพญานาคที่พบมีอายุประมาณ ๑ แสนปี
โขดหินลักษณะเหมือนหัวงูขนาดใหญ่

                ส่วนภาพของหินหัวพญานาคที่เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ ภายหลังพบว่าเป็นหินที่อยู่ในผืนป่าแขวงอุดมไซ ฝั่ง สปป.ลาว  แต่ทางฝั่งไทยเราบนภูลังกาก็พบว่ามีหินหัวพญานาคเช่นกัน โดยต้องเดินลัดเลาะลานหินสลับผืนป่าไปยังบริเวณถ้ำไชยมงคลอันเคยเป็นที่จำพรรษาของหลวงปู่วัง พระเกจิอาจารย์แห่งภูลังกา ผ่านใต้เพิงผาที่มีสายน้ำตกสีขาวน้อย ๆ ทิ้งตัวลงสู่ผืนป่าเขียวเบื้องล่างไปไม่ไกล ก็จะพบโขดหินใหญ่ลักษณะคล้ายหัวงูที่เต็มไปด้วยเกล็ดอยู่ริมทางน้ำไหล มองดูคล้ายกับงูยักษ์กำลังก้มลงดื่มน้ำในลำธาร

 น้ำตกงามบนลานหินทราย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว
ถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปในบริเวณน้ำตก

กลับลงจากยอดภูกันอย่างอ่อนล้า ช่วงเย็นจึงเป็นเวลาผ่อนคลาย ล่องเรือชมทิวทัศน์ผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในภาคอีสานของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว  ซึ่งบนภูเขาหินทรายขนาดใหญ่เป็นลานกว้างขวางมีธารน้ำตกขนาดใหญ่ ๓ ชั้นหลากไหลอยู่อย่างงดงาม



            
          ส่งท้ายการเดินทางในวันสุดท้ายด้วยการไปเยี่ยมชมความมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยาของจังหวัดบึงกาฬอีกแห่ง คือหินสามวาฬ ภูเขาหินทรายขนาดมหึมาสามก้อน ลักษณะรูปทรงคล้ายปลาวาฬสามตัวที่แหวกว่ายเรียงรายกันสามตัวพ่อ แม่ ลูก  ที่ตั้งอยู่ติดหน้าผาสูง ในพื้นที่รวมประมาณ ๑๒,๐๐๐ไร่  ของป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูสิงห์  

เพียงส่วนหนึ่งของหินสามวาฬยังมีขนาดมหึมา
อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เหนือหินสามวาฬ

แหล่งธรณีวิทยาบริเวณป่าภูสิงห์จัดอยู่ในประเภทแหล่งธรณีสัณฐานที่มีความโดดเด่นควรค่าแก่การอนุรักษ์ โดยเฉพาะ“หมู่หินภูทอกน้อย” ซึ่งเป็นหน่วยหินเพียงหน่วยเดียวในประเทศไทยที่แสดงถึงหลักฐานทางธรณีประวัติว่าในช่วง ๗๕ ล้านปีก่อน พื้นที่บริเวณจังหวัดบึงกาฬในฝั่งไทย รวมไปถึงแขวงอุดมไซ บอลิคำไซ ในสปป.ลาว เคยเป็นทะเลทรายโบราณผืนใหญ่ ด้วยหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในลักษณะชั้นเฉียงระดับขนาดใหญ่ในโครงสร้างทางธรณีวิทยา  บ่งบอกการสะสมตัวจากลมในทะเลทราย ภายหลังจึงมีแม่น้ำโขงขึ้นมาแบ่งแยกพื้นที่ออกจากกัน 

สนใจชมภาพถ่ายและวิดิทัศน์ของการเดินทางทัศนศึกษาในโครงการ “ตามรอยตีนไดโนเสาร์ที่นครพนม ชมหินเกล็ดพญานาคถ้ำนาคา ล่องนาวาน้ำตก ถ้ำพระที่ภูวัว แหวกดูตัวหินสามวาฬ ชมปรากฎการณ์ทะเลทรายในอดีตที่ภูทอก” เพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/artontheways




No comments:

Post a Comment