ภาคภูมิ น้อยวัฒน์..ชวนแวะและชวนชม
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนมกราคม ๒๕๖๔
เมืองบางขลังคือเมืองโบราณที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองศรีสัชนาลัยกับเมืองสุโขทัย
ในทางประวัติศาสตร์
เมืองบางขลังถือว่ามีความสำคัญ โดยจารึกวัดศรีชุมบันทึกว่าพ่อขุนผาเมืองจากเมืองราดร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาวจากเมืองบางยาง
ใช้เมืองบางขลังเป็นที่ชุมนุมพลเข้าตีเมืองสุโขทัยคืนจากขอมสบาดโขลญลำพง ก่อนสถาปนาพ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
ต้นราชวงศ์พระร่วง ครองกรุงสุโขทัย
วัดใหญ่ชัยมงคล โบราณสถานสำคัญของเมืองบางขลัง
ในทางพุทธศาสนา เมืองบางขลังก็มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากปรากฏเรื่องราวในตำนานวัดพระธาตุดอยสุเทพว่าพระมหาสุมนเถรเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย เกิดนิมิตว่าพระบรมธาตุซึ่งพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชอัญเชิญมาบรรจุไว้ ณ พระเจดีย์เมืองบางขลังนั้น บัดนี้พระเจดีย์หักพังเสียแล้ว พระบรมธาตุได้ตกลงสถิตอยู่บริเวณใต้กอดอกเข็มกอหนึ่ง พระสุมนเถรเจ้าจึงเดินทางไปค้นหา จนได้พบพระบรมธาตุที่ข้างใต้กอเข็มนั้น
ต่อมาพระเจ้ากือนากษัตริย์องค์ที่ ๖ ราชวงศ์มังราย
ขึ้นครองราชย์นครเชียงใหม่ในพ.ศ.๑๙๑๐ ได้นิมนต์พระสุมนเถรเจ้าให้ไปประกาศพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ที่เมืองเชียงใหม่ พระสุมนเถรเจ้าจึงเดินทางไปพร้อมกับพระธาตุนั้น
พระบรมธาตุได้แสดงปาฏิหาริย์แยกออกเป็นสององค์ จึงอัญเชิญองค์หนึ่งประดิษฐานไว้ในเจดีย์วัดพระธาตุดอยสุเทพ อีกองค์ประดิษฐานในเจดีย์วัดบุปผาราม
หรือวัดสวนดอก
มณฑปขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง ในบริเวณวัดโบสถ์เมืองบางขลัง |
หลังกรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจ เมืองบางขลังได้กลายเป็นเมืองร้างไปเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
หลงเหลือเพียงร่องรอยโบราณสถานวัดร้างหลายแห่งกระจายอยู่ เช่น วัดใหญ่ชัยมงคล
วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดริมทาง และวัดเขาเดื่อ
โดยเฉพาะที่วัดโบสถ์ ปรากฏซากมณฑปศิลาแลงเป็นโบราณสถานขนาดใหญ่
วัดโบสถ์เดิมเป็นวัดร้าง ปรากฏชื่อในหนังสือพระราชนิพนธ์เที่ยวเมืองพระร่วง
ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ที่กล่าวถึงไว้ว่า “เดินทางไปได้ประมาณ ๑๑๐
เส้น ข้ามเขตแดนเมืองสวรรคโลก เวลาเที่ยงถึงวัดร้าง เรียกตามคําชาวบ้านว่า “วัดโบสถ์”
ภายหลังชาวบ้านจากบ้านคลองแห้งจํานวน ๑๘ ครอบครัว ได้ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณวัดโบสถ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๗ จากนั้นเมื่อมีผู้คนอพยพเข้ามามากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนใหญ่จึงสร้างวัดขึ้นในบริเวณมณฑป เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ราวปี พ.ศ. ๒๕๑๔
หลวงพ่อขาวเนรมิต หรือ พระศรีสุรีย์มงคลพลญาณ
ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๓๐ ชาวบ้านคือนายยม ไอยเรศ ฝันว่ามีพระพุทธรูปโบราณถูกฝังอยู่ในที่ดินของนายหน่วย
หมื่นหาญ ที่อยู่ติดกับวัดโบสถ์ เมื่อมีผู้ลองขุดก็พบพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยสีขาว
ศิลปกรรมสุโขทัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จึงนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดโบสถ์
ในอุโบสถหลังเก่าที่สร้างขึ้นบนฐานอุโบสถโบราณ ให้ชื่อว่าหลวงพ่อขาวเนรมิต หรือ “พระศรีสุรีย์มงคลพลญาณ” อันเป็นชื่อตามนิมิตของพระมหาบุญมี
ภูริมงคลาจาโร เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ในขณะนั้น
หลังจากนั้น กรมศิลปากรรวมทั้งนักวิชาการผู้สนใจจากหลากหลายสถาบันเข้ามาทำการขุดแต่งศึกษาโบราณสถานวัดโบสถ์
รวมทั้งจัดเสวนาทางวิชาการหลายต่อหลายครั้ง
จนได้ข้อมูลค่อนข้างชัดเจน สามารถสร้างเป็นอาคารศูนย์ข้อมูลพร้อมนิทรรศการขนาดเล็ก
นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณคดีและประวัติศาสตร์ของเมืองบางขลังโดยสังเขป ทั้งยังได้ปรับภูมิทัศน์โดยรอบ ทำให้โบราณสถานวัดโบสถ์กลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวของเมืองบางขลัง
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีทรงสนพระทัย เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโบราณสถานของวัดโบสถ์เมืองบางขลังเมื่อวันที่
๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
อุโบสถหลังใหม่ที่ผสมผสานศิลปกรรมหลากหลายยุคสมัย |
ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พระครูพิพัฒน์สุตากร
เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้สร้างอุโบสถหลังใหม่เพื่อประดิษฐาน พระศรีสุรีย์มงคลพลญาณ ด้วยงบประมาณจากกองกฐินผ้าป่าของวัดในแต่ละปี
ในรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ ผสมผสานส่วนหลังคาหน้าจั่วแหลมแบบไทย ส่วนชายคายาวแบบล้านช้าง รองรับด้วยเสาแปดเหลี่ยมโคนใหญ่ปลายเล็กแบบกรีก-โรมัน
เชิงชายหลังคา ตัวมกร หลังคากระบื้องกาบกล้วยแบบจีน ลวดลายปูนปั้นประดับแบบขอม พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัยด้านหลังอุโบสถและกลีบบัวหัวเสาศิลปะอินเดีย
ค่อยสร้าง ค่อยทำอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๘ ปีจนเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน
ช่างรุ่ง นันต๊ะ จิตรกรผู้รังสรรค์จิตรกรรมวัดโบสถ์บางขลัง |
สิ่งที่น่าสนใจนอกเหนือจากรูปแบบสถาปัตยกรรมภายนอก
คือภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ
ที่วาดขึ้นอย่างวิจิตรตระการตาด้วยรูปแบบจิตรกรรมไทยประเพณีประยุกต์ที่มีทัศนมิติเหมือนจริง
จากฝีมือนายช่างรุ่ง นันต๊ะ สล่าชาวเมืองน่านผู้ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากคณะศิลปกรรม
มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์ แต่ย้ายถิ่นฐานมาเป็นชาวสุโขทัยเพราะได้ภรรยาเป็นคนอำเภอศรีสำโรง
รับมอบหมายงานจากท่านเจ้าอาวาส ให้วาดจิตรกรรมเป็นเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญของเมืองบางขลัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับทางพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อประมาณ ๒ ปีก่อน
พระอรหันตสาวกสังคายนาพระไตรปิฏก พระเจ้าอโศกทรงสร้างอนุสรณ์สถาน |
ชั้นบนสุดของผนังโบสถ์สองฟากฝั่งเรียงรายด้วยเทพชุมนุมในเครื่องแต่งกายแบบขอม ต่ำลงมาเป็น ภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องไล่เรียงเรื่องราวจากซ้ายไปขวา (เมื่อหันหน้าเข้าหาองค์พระประธาน) โดยเริ่มต้นจากภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานใต้ต้นสาละคู่ ณ เมืองกุสินารา ตามด้วยภาพการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรกหลังจากพุทธปรินิพพานได้ ๓ เดือน โดยพระอรหันต์สาวก ๕๐๐ รูป อันมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเขาภารบรรพต นอกเมืองราชคฤห์ นครหลวงแห่งแคว้นมคธ มีพระเจ้าอชาตศัตรูผู้ครองนครขณะนั้นทรงเป็นองค์อุปถัมภ์
ด้านล่างเป็นเรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช
เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก จารึกพระบรมราชโองการไว้บนเสาศิลาเรียกว่า “เสาอโศก” โปรด ฯ ให้สร้างอนุสรณ์สถานในสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เรียกว่าสังเวชนียสถาน รวมทั้งส่งสมณทูตเพื่อไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเอเชียกลางและเอเชียใต้
จากถ้ำอชันตา สู่การเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปอย่างกว้างไกล
ถัดมาคือภาพของถ้ำอชันตา ประเทศอินเดีย สร้างโดยพระภิกษุในปีพ.ศ.
๓๕๐ เจาะและแกะสลักภูเขาหินเป็นอุโบสถ วิหาร และกุฏิ จนกลายเป็นวัดถ้ำในพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก
และในปี พ.ศ. ๕๐๐ จึงเกิดคติการสร้างพระพุทธรูปเพื่อสักการบูชา จากแต่เดิมที่นิยมสร้างเป็นสัญลักษณ์ธรรมจักรหรือพระพุทธบาทแทนองค์พระพุทธเจ้า
สุดผนังด้านซ้ายเป็นภาพของพระปฐมเจดีย์และเจดีย์พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช สื่อถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศไทย
พระสุมนเถระเจ้านิมิตพระพระบรมสารีริกธาตุ |
ส่วนอีกฟากบนผนังฝั่งตรงกันข้ามด้านซ้ายสุด เริ่มด้วยภาพของพระนางจามเทวีที่เสด็จจากเมืองละโว้ขึ้นมาครองราชย์เป็นกษัตริย์เมืองลำพูน เป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ภาคเหนือ ต่อด้วยเรื่องพระสุมนเถระเจ้านิมิตพบพระบรมธาตุที่กอดอกเข็มเมืองบางขลัง ถัดไปเป็นเรื่องการอัญเชิญพระบรมธาตุไปประดิษฐานในเจดีย์บนยอดดอยสุเทพและที่เจดีย์วัดสวนดอกจังหวัดเชียงใหม่
ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุบนยอดดอยสุเทพ |
ท้ายสุดคือเรื่องราวการเสด็จพระราชดำเนินโดยช้างพระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๖ มายังวัดโบสถ์เมืองบางขลัง ขณะยังรกร้างอยู่กลางป่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโบราณสถานวัดโบสถ์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐
ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกตรงที่เวลาห่างกัน ๑๐๐ ปีพอดิบพอดี
ปัจจุบันภาพจิตรกรรมยังไม่เสร็จเรียบร้อย
คงอยู่ในระหว่างดำเนินการวาดอยู่ ซึ่งแต่เดิมกำหนดการตัดลูกนิมิตอุโบสถตั้งไว้ที่เดือนมกราคม
๒๕๖๔ นี้ แต่ด้วยเหตุที่เป็นการสร้างตามเงินกองทุนจากกฐินและผ้าป่าในแต่ละปีซึ่งไม่แน่นอน
ส่งผลทำให้ต้องล่าช้า จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่มาเยี่ยมชมจิตรกรรมในช่วงเวลานี้สามารถมีส่วนร่วมในบุญกุศล
เพื่อให้อุโบสถและจิตรกรรมได้เสร็จสมบูรณ์ เป็นสมบัติศิลป์อันงดงามของแผ่นดินเมืองบางขลังสืบไป
โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก ที่ยังวาดไม่เสร็จ |
คู่มือนักเดินทาง
เมืองบางขลังตั้งอยู่ระหว่างเมืองศรีสัชนาลัยกับเมืองสุโขทัย
อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของอำเภอสวรรคโลก จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๒ ถึงนครสวรรค์ เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข
๑ ถึงกำแพงเพชร เลี้ยวขวาเข้ากำแพงเพชร
มุ่งสู่สุโขทัยตามทางหลวงหมายเลข ๑๐๑ ผ่านจังหวัดสุโขทัยสุโขทัย
มุ่งสู่สวรรคโลกตามทางหลวงหมายเลข ๑๑๙๕ ผ่านทางแยกเข้าอำเภอศรีสำโรงไปประมาณ
๑๐กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงชนบท ๔๐๑๓ ท่าทอง – ขอนซุง ผ่านวัดขอนซุง
ข้ามลำน้ำมอก เลี้ยวขวา แล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปตามป้ายชี้ทาง จนถึงวัดโบสถ์ทางขวามือ
No comments:
Post a Comment