ภาคภูมิ
น้อยวัฒน์ ...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนมิถุนายน ๒๕๖๐
เช้าตรู่ในวันฝนพรำ
คณะทัศนศึกษา “จากกระโจมไฟสู่การเดินเรือกรมเจ้าท่า”
อันประกอบด้วยอาจารย์พลาดิศัย
สิทธิธัญญกิจ อาจารย์สมปอง ดวงไสว และคณะสื่อมวลชนจากหลากหลายสาขา พากันขึ้นรถบัสขนาดใหญ่ออกจากมหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
มุ่งหน้าสู่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ๖ สมุทรปราการ ก่อนลงเรือตรวจการณ์ของกรมเจ้าท่า
ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่บริเวณสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา
เพื่อตามหา “ประภาคารแห่งแรกของประเทศไทย”
แนวคิดในการสร้างประภาคารดังกล่าวเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ดังปรากฏบันทึกในประชุมพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ ความว่า “ในปีขาน
โปรดให้พระยาเทพประชุนไปทำไลซเฮ้า คือเรือนตะเกียงที่หลังสันดร
สำหรับเรือลูกค้าเปนที่หมายทางเข้าออก”
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) |
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ท่านศึกษาเรื่องการเดินเรือตามบรรพบุรุษที่ดูแลการค้าระหว่างประเทศและการเดินเรือมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาสืบเนื่องกันมา
ท่านเองยังได้รับราชการดูแลกรมท่าและมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๒ เมื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ ๕
จึงได้สร้างประภาคารตามพระราชดำริในรัชกาลที่ ๔ ขึ้น เนื่องจากเห็นว่าในสมัยนั้นปากแม่น้ำเจ้าพระยามีเรือสินค้าเข้าออกเป็นจำนวนมาก
อันเป็นผลจากการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ โดยใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวในการก่อสร้าง
แล้วยกให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน เรียกชื่อว่า Regent Lighthouse ดังมีรายละเอียดบันทึกไว้ว่า
“...ราคาเรือนตะเกียงที่พระสยามธุระพาห์กงสุลซื้อเข้ามานั้นเป็นราคา
๑๘๐ ชั่ง พร้อมทั้งเครื่องเรือนตะเกียงแลโคมด้วย
เงินที่มาลงทุนทำการตั้งเรือนตะเกียงขึ้นนั้น อีกเงินค่าไม้และของใช้เบ็ดเสร็จ ๑๘
ชั่ง ๖ ตำลึง ๑๐ สลึง เงินค่าจ้างเรือจ้างคนบรรทุกศิลาไปถมราก ๑๐ ชั่ง
เงินจ้างเรือโป๊ะเมื่อแก้เรือนโคมชุด ๑๕ ชั่ง เงินค่าจ้างช่างไม้ ๑ ชั่ง ๑๘ ตำลึง
๑๑ สลึง รวมเป็นเงิน ๒๒๕ ชั่ง ๕ ตำลึง ๕ สลึง เป็นเสร็จการ และเงินที่ลงทุนค่าเรือนตะเกียงทั้งหมดนี้
สมเด็จเจ้าพระยาฯ ท่านได้ออกเงินสร้างเป็นของ ๆ ท่าน
สำหรับที่จะให้เรือราชการและเรือลูกค้าไปมาเป็นที่สังเกตในเวลากลางคืน
และจะได้เป็นเกียรติยศแก่ปากน้ำเจ้าพระยาด้วย”
ประภาคาร Regent Lighthouse สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ |
ในส่วนของลักษณะและที่ตั้งของตัวประภาคาร
ปรากฏข้อมูลอยู่ที่ประกาศกรมท่า ในราชกิจจานุเบกษา ดังต่อไปนี้
"เรือนตะเกียงนั้นตั้งอยู่ข้างตะวันออกริมรั้วช้าง
แลติจูต ๑๓ ดีกรี ๒๙ มินิศ ๒๖ เสกัน เหนือ นับข้างทิศตะวันออก ลอนยิศจุน ๑๐๐ ดีกรี
๓๕ มินิศ ๒๐ เสกัน ข้างไฟสันดอนอยู่ใกล้ทิศตะวันตกริมตลิ่งจะเลี้ยวมาทางตะวันออก
เรือนตะเกียงนี้มีแสงสว่างรอบตัว สูงพ้นน้ำ ๔๔ ฟิต เรือไปมาจะเห็นแสงสว่างได้ทาง
๑๐ ไมล์
การที่ทำเรือนตะเกียงและการที่จัดเจ้าพนักงานพิทักษ์รักษาและจุดตะเกียงนั้น
สมเด็จเจ้าพระยาฯ ได้มอบธุระให้ข้าพเจ้าเป็นผู้จัดการมาแต่แรกลงมือทำ
เรือนตะเกียงนี้ได้ลงมือทำแต่เมื่อปีมะเมียโทศก จุลศักราช ๑๒๓๒ แล้วเสร็จในปีมะแม
ตรีศก จุลศักราช ๑๒๓๓ การที่ช้าอยู่ ไม่ได้จุดตะเกียงนั้น เพราะเรือนตะเกียงซุด
ต้องรื้อทำใหม่ถึง ๒ ครั้ง เพราะเป็นที่เลนอ่อน การที่ได้ทำครั้งหลัง
ต้องทิ้งศิลาถมลงเป็นรากแล้ว จึงได้ตั้งเรือนตะเกียงได้ สังเกตดูมา ๑๐
เดือนแล้วก็เห็นว่าจะอยู่ได้ จึงได้ออกประกาศให้ทราบทั่วกัน
ผู้ซึ่งจะเป็นพนักงานจุดตะเกียงนั้น
มิสเตอร์ฝอดชาวเยอรมันได้รับธุระในการจุดตะเกียงและการที่จะรักษาเรือนตะเกียง...”
นาวาโทกิตติพงษ์ พูลทองคำ เจ้าหน้าที่นำร่องชำนาญการ กรมเจ้าท่า ชี้ให้ดูตำแหน่งที่ตั้งประภาคาร |
เมื่อเรือของคณะทัศนศึกษาไปถึงจุดหมายก็พบว่าปัจจุบันประภาคารดังกล่าวได้พังทลายไปจนไม่หลงเหลือร่องรอยใดให้เห็นแล้ว
อย่างไรก็ตาม นาวาโทกิตติพงษ์ พูลทองคำ เจ้าหน้าที่นำร่องของกรมเจ้าท่าซึ่งมาเป็นวิทยากรให้กับคณะได้นำเรือไปยังทุ่นสีแดงหมายเลข
๑๔ แล้วชี้ให้ดูแนวจากทุ่นสีแดง ๑๔ ตั้งฉากกับแนวทุ่นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
๒.๕ กิโลเมตร ว่าเป็นที่ตั้งของประภาคารในตำแหน่งเดิม คือที่ละติจูต ๑๓ องศา ๒๙
ลิปดา ๒๖ ฟิลิปดาเหนือ นับข้างทิศตะวันออกที่ลองติจูด ๑๐๐ องศา ๓๕ ลิปดา ๒๐
ฟิลิปดา
เหตุที่ประภาคารแห่งแรกของไทยถูกทอดทิ้งจนพังทลายไปก็เนื่องมาจากในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ได้หันมาใช้เรือทุ่นไฟแทนที่ประภาคาร แต่ต่อมาพบว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก
จึงเลิกการใช้เรือทุ่นไฟในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ กลับมาสร้างประภาคารแห่งใหม่ขึ้นห่างจากที่เดิม
คณะทัศนศึกษาขึ้นเยี่ยมชมสถานีนำร่องและมอบของที่ระลึกให้กับวิทยากร |
จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๒ กรมเจ้าท่าจึงได้สร้างสถานีนำร่องขึ้นที่สันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นอาคารคอนกรีต มีความสูง ๓๘ เมตร ส่งสัญญาณไฟแวบสีขาว ทุก ๆ ๑๐ วินาที โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์
เป็น สามารถมองเห็นได้ไกลถึง ๒๐ ไมล์ บนสถานีมีห้องพักอาศัยสำหรับพนักงานนำร่องที่มาเตรียมพร้อมปฏิบัติงาน
คณะทัศนศึกษาได้แวะเยี่ยมชมสถานีนำร่อง ซึ่งของประเทศไทยของเราถือว่าเป็นสถานีนำร่องแห่งเดียวในโลกที่ตั้งอยู่กลางทะเลอีกด้วย
เลนส์ตะเกียงของประภาคาร |
เรือนตะเกียงที่เก็บรักษาอยู่ภายในคลังของพิพิธภัณฑ์ |
ล่องเรือกลับมายังฝั่ง
เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทหารเรือจังหวัดสมุทรปราการ สถานที่เก็บรักษาเรือนตะเกียงเลนส์นูนทำจากกระจก
ที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์สั่งเข้ามาจากกรุงลอนดอน พร้อมเครื่องตะเกียงที่จุดด้วยน้ำมัน ซึ่งเมื่อจบการเดินทางในครั้งนี้ ทุกคนที่ร่วมในคณะเดินทางต่างก็เห็นว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะได้มีการรื้อฟื้นประภาคารแห่งแรกของไทยเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
(ช่วง บุนนาค) ซึ่งท่านมิได้พียงสร้างประภาคารหรือกระโจมไฟแห่งแรกขึ้นที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น
ยังได้วางรากฐานให้กับกรมเจ้าท่าในอดีต การจัดการทางเดินเรือนำร่องเข้าสู่พระนคร
รวมไปถึงข้อกำหนดที่เป็นประโยชน์ต่อกิจการเดินเรือ การต่อเรือ อีกมากมายอันส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ
“ตามรอย ๑๕๐ ปีศรีสุริยวงศ์” ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาได้ประกาศให้ปี
พ.ศ. ๒๕๕๗- ๒๕๖๑เป็นปีแห่งการเชิดชูเกียรติ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
(ช่วง บุนนาค) เพื่อเตรียมยื่นเสนอองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก
ประกาศให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ในวาระครบรอบ ๑๕๐ ปีการปฏิบัติราชการในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
โดยจัดกิจกรรมเผยแพร่ผลงานของสมเด็จเจ้าพระยาฯตามวาระของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้สนใจรายละเอียดของการเดินทางทัศนศึกษา
“จากกระโจมไฟสู่การเดินเรือกรมเจ้าท่า”ในครั้งนี้
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจ www.facebook.com/osotho และwww.facebook.com/thaitimetraveller
ส่วนกิจกรรมทัศนศึกษาที่น่าสนใจในโครงการ “ตามรอย ๑๕๐ ปีศรีสุริยวงศ์”
ที่จะมีขึ้นอีก ทางอนุสาร อ.ส.ท. จะได้ติดตามความเคลื่อนไหวมานำเสนอต่อไป