ภาคภูมิ น้อยวัฒน์…เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท.ปีที่ ๔๘ ฉบับที่ ๑๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
หลายวันก่อนได้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน
มีเวลาว่าง ผมก็เลยไปรื้อเอาวีดีโอซีดีที่ซื้อเก็บเอาไว้นานแล้วออกมาดู
เพิ่งมาสังเกตเห็นว่าผมซื้อมาแต่สารคดีเกี่ยวกับมัมมี่เต็มไปหมด
ถึงหน้าปกจะแตกต่างกันไปเพราะมาจากหลายค่ายหลายบริษัท ทว่าก็เรื่องมัมมี่ทั้งนั้น ตอนแรกก็หนักใจสงสัยว่าต้องดูมัมมี่ทั้งวันจนหน้าแทบจะเป็นมัมมี่ไปเลยละกระมัง
แต่เอาเข้าจริงก็นั่งดูนอนดูจนลืมเวลาครับ
เพราะว่าสนุกตื่นเต้นไปกับเรื่องราววิธีค้นคว้าหาความจริงของนักโบราณคดีจากร่องรอยของซากศพและข้าวของเครื่องใช้ที่ทำให้เรียนรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของผู้คนในสมัยนั้นได้
ทั้งที่ห่างไกลจากช่วงเวลาปัจจุบันหลายพันปี
ที่ผมชอบที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องมัมมี่สวมหน้ากากของชาวชินโคโร
ในประเทศชิลี ซึ่งไม่ได้มีอาณาจักรยิ่งใหญ่อะไร เพราะเป็นชนเผ่าประมงชายฝั่ง
แต่กลับรู้จักวิธีทำมัมมี่ในแบบของตัวเอง ตรวจสอบแล้วมีอายุอยู่ในช่วง ๗,๐๐๐-๒,๐๐๐ปี
เรียกว่าเก่าแก่กว่ามัมมีของอียิปต์หลายเท่า
ดูแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงแหล่งมรดกโลกบ้านเชียงของไทยเรา
ที่จังหวัดอุดรธานีครับ
เปล่าครับ…ไม่ใช่ว่ามีใครไปขุดเจอมัมมี่ขึ้นที่บ้านเชียงหรอก
แต่นึกถึงก็เพราะว่าบ้านเชียงของเราเองก็มีอายุเก่าแก่ย้อนหลังไปถึง ๕,๖๐๐ ปี
แถมยังมีเรื่องราวที่สืบสาวได้จากหลุมฝังศพเหมือนกันอีกด้วย เพราะพบหม้อดินเผานับร้อยใบที่พบในหลุมศพ
ซึ่งมีหลากขนาด หลายรูปแบบ กับเอกลักษณ์อันโดดเด่นไม่ซ้ำใครด้วยลวดลายเขียนสีอันพิสดารตระการตา
ถึงไม่มี “มัมมี่” แต่ก็มี “มัมหม้อ” ละ…ว่างั้นเถอะ
จะว่าไปแล้วเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สืบสาวจากหม้อดินในหลุมศพโบราณ
จนกระทั่งได้ข้อมูลสำคัญที่ทำให้บ้านเชียงได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม
ก็สนุกสนานน่าตื่นเต้นไม่แพ้การไขปริศนาความเป็นมาของมัมมี่อยู่เหมือนกัน
ครับ
และนั่นก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมมาปร๋ออยู่ที่อุดรธานีอีกครั้ง
เยือนถิ่นหม้อดินเผาเขย่าโลก
แม้ว่าที่บ้านเชียงเดี๋ยวนี้จะไม่ได้มีการขุดค้นทางโบราณคดีให้เห็นกันแบบสด
ๆ แล้ว แต่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียงก็ได้เก็บรวบรวมเรื่องราวการขุดค้นตั้งแต่ต้นทั้งหมดเอาไว้
โดยเฉพาะได้ข่าวมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการปรับปรุงครั้งใหญ่
เพื่อให้ทันสมัยและมีความน่าสนใจ สมศักดิ์ศรีดีกรีมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ได้รับมา
ดูท่าจะแจ๋วจริงอย่างว่าครับ
แค่เลี้ยวรถเข้าที่ลานจอด ก็รู้สึกได้ว่าอะไรต่อมิอะไรแปลกตาไปจากที่เคยเห็นเยอะ
ผมลองเตร่ไปเดินเล่นดูรอบ ๆ
ด้านนอกจัดภูมิทัศน์ใหม่ สร้างอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอย่างดี
เรียงรายด้วยร้านขายของที่ระลึกเป็นระเบียบ ปลูกสนามหญ้าใหม่ทำเป็นสวนสาธารณะ
พรั่งพร้อมด้วยเครื่องไม้เครื่องมือออกกำลังกายเสร็จสรรพ อนุสาวรีย์โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ริมบึงใหญ่
ข้ามสะพานไปเป็นศาลาสัญลักษณ์เฉลิมพระเกียรติครองราชสมบัติครบ ๖๐ ปี
บรรยากาศดีลมพัดโกรกเย็นสบาย เหมาะกับการกินลมชมวิวในยามเย็น
ซื้อบัตรผ่านประตูเหยียบย่างเข้าสู่ในรั้วพิพิธภัณฑ์ก็ไม่แพ้กันครับ
สัญลักษณ์มรดกโลกเด่นสง่าอยู่กึ่งกลางสนามหญ้าข้างหน้าที่ตัดแต่งเขียวขจี
มองไปทางไหนก็เอี่ยมอ่องไปหมด เข้าไปข้างในอาคารสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่เป็นพิพิธภัณฑ์
ก็ปรับปรุงใหม่ ชั้นล่างมุมหนึ่งจัดเป็นร้านขายเครื่องดื่ม
ถัดเข้าไปอีกหน่อยเป็นร้านขายหนังสือและของที่ระลึก แลดูทันสมัยขึ้นจมเชียวละ
เดินคนเดียวก็เปลี่ยวใจ
ผมก็เลยพยายามทำตัวให้กลมกลืนไปกับนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่
เดินตามเขาต้อย ๆ เลี้ยวเข้าห้องไปชมวีดีโอแนะนำความเป็นมากันเสียก่อนตามธรรมเนียม
เสร็จสรรพเดินออกมาก็เจอเจ้าหน้าที่ยิ้มแฉ่งชี้ทางให้เดินขึ้นบันไดไปชมชั้น ๒
พ้นบันไดก็เจอเข้ากับห้องนิทรรศการชั่วคราวครับ
จัดแสดงนิทรรศการเคลื่อนที่หัวข้อ บ้านเชียง การค้นพบยุคสำริดที่สาบสูญ ซึ่งเคยไปตระเวนเผยแพร่ที่สหรัฐอเมริกามาแล้วในช่วงระหว่างปี
พ.ศ. ๒๕๒๕ ถึง ๒๕๒๙
นำเสนอประวัติความเป็นมา ข้อมูลการสำรวจขุดค้น และศึกษาวิจัยเกี่ยวกับบ้านเชียง
อันเป็นความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากรกับมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย
ว่ากันตั้งแต่การค้นพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเขียนลวดลายสีแดงของบ้านเชียงในพ.ศ. ๒๕๐๙
ตอนนั้นนายสตีเฟน ยัง บุตรชายของเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกา
นักศึกษาวิชาสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เข้ามาศึกษาเรื่องราวของหมู่บ้าน
เดิน ๆ อยู่สะดุดรากไม้ตะครุบกบป้าบลงไป
ประสบพบเข้ากับเศษเครื่องปั้นดินเผาลวดลายสีแดงที่ว่า เกิดสนใจขึ้นมา
ก็เลยเก็บเอาไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีดู
ในนิทรรศการเขาสเก็ตช์เป็นภาพวาดลายเส้นตอนสะดุดรากไม้ไว้ให้ชมเสียด้วยนะ
ผมยืนดูอยู่เห็นใครไปใครมาก็หยุดหัวเราะกันคิกคักตรงภาพนี้ทุกที (บางคนไม่หัวเราะเฉย ๆ ครับ ยังตั้งข้อสงสัยขึ้นมาอีกว่าบางทีหนุ่มสตีเฟนแกอาจจะเดินไปกับเพื่อนนักศึกษาสาว
แล้วสะดุดหกล้ม เลยแกล้งทำเป็นเก็บเศษหม้อบ้านเชียงไปวิจัยแก้เขิน แหม
…ช่างคิดเสียเหลือเกิน)
แต่ไม่ว่ายังไงนั่นก็เป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเชียงครั้งแรกของกรมศิลปากรในปีพ.ศ. ๒๕๑๐
ละครับ ซึ่งก็ได้หลักฐานทางโบราณคดีมากมาย โดยเฉพาะหม้อดินเผาเขียนลวดลายสีแดง
ที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลก เพราะชิ้นส่วนส่งไปตรวจหาอายุ
ด้วยวิธีเทอร์โมลูมีเนสเซนส์ ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย
ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วผลออกมาว่ามีอายุถึง ๗,๐๐๐ ปี (เพิ่งมารู้หลังจากนั้นอีกหลายปีครับว่า
ผลตรวจผิดพลาด พวกหม้อดินเผาเขียนลายสีแดงน่ะ เป็นของในยุคสุดท้าย อายุแค่ ๒,๒๐๐–๑,๘๐๐ปี เท่านั้น)
การขุดค้นครั้งที่ ๒
ของกรมศิลปากรจึงตามมาในปีพ.ศ. ๒๕๑๕
ซึ่งในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถยังได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรหลุมขุดค้นที่บริเวณวัดโพธิ์ศรีในและที่บ้านมนตรีพิทักษ์ด้วย
ซึ่งหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีในต่อมาก็ได้คงสภาพไว้เป็นพิพิธภัณฑ์หลุมขุดค้นกลางแจ้ง ส่วนบ้านมนตรีพิทักษ์ ในเวลาต่อมา นายพจน์ เจ้าของบ้าน
ก็ได้มอบบ้านพร้อมที่ดินให้กับกรมศิลปากรเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานในการเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรหลุมขุดค้นมนตรีพิทักษ์
ส่วนการขุดค้นครั้งใหญ่ที่สุดคือในปีพ.ศ.๒๕๑๗ -๒๕๑๘
ทางกรมศิลปากรได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา
จัดทำโครงการวิจัยโบราณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำรวจแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ
ทั่วทั้งภาค พร้อมทั้งขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญหลายแห่งทั้งที่บ้านเชียง
บ้านต้อง บ้านผักตบ อุดรธานี และที่แหล่งโบราณคดีตอนกลางจังหวัดขอนแก่น
ได้ข้อมูลมากมายครับ เพราะใช้วิธีศึกษาแบบสหวิทยาการ
วิเคราะห์หลักฐานที่ได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา
ทั้งนักพฤกษศาสตร์ นักสัตวศาสตร์ นักปฐพีวิทยา นักโบราณคดี ฯลฯ
เป็นที่มาของความรู้ความเข้าใจในสังคมและวัฒนธรรมของชาวบ้านเชียงในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ทั้งหมด
รวมทั้งนิทรรศการที่ผมกำลังชมอยู่นี่ด้วย
สังเกตดูนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ดูจะไปสนใจมุงกันอยู่แต่
โครงกระดูกนิมรอด ที่จัดแสดงไว้ ตรงมุมกลางห้อง
อันเป็นหลักฐานของรูปแบบการฝังศพบุคคลสำคัญที่ได้รับการยกย่องในสังคมแต่ผมกลับชอบที่จะเดินดูบรรดาหม้อดินเผาที่จัดแสดงอยู่มากมายหลายตู้มากกว่า
เพราะว่าตรงนี้เขาเลือกชิ้นที่เป็นมาสเตอร์พีซเอามาใส่ตู้ไว้ให้ชม
คัดเอาเฉพาะรูปแบบที่เป็นจุดเด่นของยุคเลยละครับ แต่ละชิ้นสวยแปลกตาทั้งนั้น
ในยุคแรก ก็จะมีภาชนะดินเผาใช้ฝังศพเด็ก
อายุประมาณ ๔,๕๐๐–๓๕๐๐ ปี
เป็นหม้อใบใหญ่มีลวดลาย ใช้ใส่ศพทารกอายุไม่กี่อาทิตย์ ส่วนยุคกลางคือช่วงถัดมา อายุประมาณ ๓,๐๐๐-๒,๓๐๐ ปี จะมีหม้อดินเผาขนาดใหญ่ผิวบางละเอียดงดงาม ยุคนี้มีธรรมเนียมทุบภาชนะให้แตกก่อนใส่ลงไปในหลุมศพ
ก็เลยมีการแสดงวิธีต่อภาชนะที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขึ้นมาใหม่เป็นของแถมเอาไว้ให้ดูในตู้ด้วย
ซึ่งผมเห็นแล้วก็ต้องยอมคารวะในฝีมือคนปะติดปะต่อขึ้นมาทันที เพราะแตกชนิดเรียกว่าไม่มีชิ้นดีเลยก็ว่าได้
คงต้องใจเย็น ใช้เวลาเป็นปี ๆ ในการประกอบขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ยุคสุดท้าย อายุประมาณ ๒,๓๐๐–๑,๘๐๐ปี
จะเน้นการประดับประดาเขียนสีลวดลายบนภาชนะดินเผาอย่างวิจิตรบรรจงละลานตาด้วยรูปแบบลวดลายอิสระที่ไม่ซ้ำกัน
ก็ได้แต่ทึ่งในฝีไม้ลายมือของคนโบราณครับ ช่างคิดช่างสร้างสรรค์เสียจริง
นอกจากนี้ยังมีตู้จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาแบ่งตามยุคสมัยให้เห็นกันชัด
ๆ ว่ายุคไหนปั้นแบบไหนอีกส่วนหนึ่งด้วย โดยเครื่องปั้นดินเผายุคแรก ๕,๖๐๐ ปี-๓,๐๐๐ ปี จะมีหม้อสีดำขัดมันลายขูด หม้อลายเชือกทาบ และ หม้อมีเชิงสีดำ ที่แบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนบนขัดมันมีลวดลายกดประทับ
ลายสลับฟันปลาส่วนล่างเป็นลายเชือกทาบ ในความรู้สึกผม
หม้อสมัยนี้ทั้งพื้นผิวและรูปแบบให้ความรู้สึกดิบ ๆ ได้ใจในความเก๋า
เครื่องปั้นดินเผายุคกลาง ๓,๐๐๐ -๒,๓๐๐ ปี
ภาชนะที่ใช้ในการฝังศพยุคนี้งดงามทางด้านประติมากรรมเหนือกว่าสมัยอื่นด้วยผิวที่บางสม่ำเสมอ
(เสียดายที่ถูกทุบแตกทุกใบ ยังดีนะที่นักโบราณคดีประกอบขึ้นมาใหม่ได้)
ที่เด่นก็เป็นหม้อก้นกลม อายุ ๒,๔๐๐ ปี
ที่ประกอบขึ้นมาจากเศษภาชนะดินเผาในหลุมศพเด็ก
หม้อลายขูดขีด และเขียนสีลายเรขาคณิต อายุ ๓,๐๐๐
ปี มีลายเชือกทาบตามแนวตั้ง แล้วยังมีลวดลายขูดขีดบาง ๆ และภาชนะก้นแหลม อายุ ๒,๘๐๐–๒๒,๔๐๐ ปี
มีทั้งแบบเขียนสีแดง ลายขูด และสีขาวเรียบแบบไม่มีลวดลาย ดูรวม ๆ แล้วถูกใจผมที่ทรวดทรงแปลกตา หรูหรามีดีไซน์
เครื่องปั้นดินเผายุคหลัง ๒,๓๐๐-๑,๘๐๐ ปี
เป็นเครื่องปั้นดินเผาเขียนลวดลายสีแดงเป็นลายก้านขดงดงามอ่อนช้อยไม่ซ้ำกัน สมัยหลังนี้จะไม่ทุบให้แตก
แต่จะวางภาชนะที่ทั้งหนาทั้งหนักไว้บนศพแทน ชิ้นเด็ด ๆ ที่แสดงไว้ก็ได้แก่ หม้อเขียนสีแดงบนพื้นสีนวล
อายุ ๒,๓๐๐-๒,๑๐๐ ปี วางอยู่คู่กับหม้อเขียนลายสีแดงบนพื้นแดงที่เกิดขึ้นหลังลายแดงบนพื้นนวล
อายุ ๒,๐๐๐–๑,๘๐๐
ปี หม้อผิวขัดมัน ๒,๓๐๐ -๒,๑๐๐ ปี
ประดับลวดลายตกแต่งง่าย ๆ ใบนี้มีผิวมันเงา
ที่เขาว่าเกิดจากการถูด้วยหินกลมมนขณะกำลังผึ่งให้แห้ง และหม้อเขียนลายแดงผิวขัดมัน
๒,๒๐๐–๑,๘๐๐ ปี
เป็นแบบสุดท้ายของหม้อสมัยนี้ ปากผายเขียนลายเข้มผิวขัดมันวาวเงาแว๊บ ยุคสุดท้ายนี่เล่นเอาตาลายไปเหมือนกันครับ
เพราะทั้งขัดมันทั้งลวดลายจี๊ดใจเหลือเกิน
จากห้องนิทรรศการชั่วคราวมีทางเดินที่เชื่อมไปยังอีกอาคาร เข้าสู่ห้องจัดแสดงภาพถ่าย
ซึ่งภาพชุดสำคัญที่ไม่ควรพลาดชมคือภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณวัดโพธิ์ศรีใน
และบริเวณบ้านนายพจน์ มนตรีพิทักษ์
เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ นอกจากนี้ยังมีภาพถ่าย
พร้อมประวัติของบุคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเชียงอีกหลายต่อหลายท่าน
ให้ผู้มาเยือนได้รู้จักหน้าค่าตาและประวัติความเป็นมา
ถัดเข้าไปในห้องโถงใหญ่อีกห้องถือว่าเป็นทีเด็ดครับ
เพราะเป็นหัวข้อการปฏิบัติงานทางโบราณคดี จำลองห้องปฏิบัติงานของนักโบราณคดีแบบเดียวกับในสมัยที่ทำการขุดค้นเอาไว้เหมือนจริงทุกอย่าง
ทั้งโต๊ะเก้าอี้ ตาชั่ง กระดานดำ เครื่องไม้เครื่องมือ
ชิ้นส่วนโบราณวัตถุที่อยู่ในระหว่างรอการอนุรักษ์ห่อไว้ในถุงผ้าขาวเป็นแถว
ภาชนะที่ประกอบเรียบร้อยก็จัดวางเรียงกันเป็นระเบียบบนชั้นวาง รวมทั้งลำดับเหตุการณ์การขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียงในปีต่าง
ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ตรงกลางห้องยังมีหลุมขุดค้นทางโบราณคดีจำลองอยู่ข้างล่าง
ล้อมด้วยระเบียงทางเดินสี่ด้านเดินชมจากด้านบนได้รอบ มองลงไปเห็นหุ่นนักโบราณคดีขนาดเท่าคนจริงในท่วงท่าปฎิบัติงานขุดค้น
คนหนึ่งกำลังแซะดินออกจากโครงกระดูก อีกคนหนึ่งกำลังถ่ายภาพอย่างขะมักเขม้น ฝั่งตรงข้ามกันยังมีหุ่นนักโบราณคดีอีกคนกำลังยืนจดบันทึกข้อมูลอยู่ท่ามกลางกลุ่มหม้อดินเผาบ้านเชียงที่แตกหักกระจัดกระจาย ผมลองลงบันไดไปดูใกล้ ๆ ทุกอย่างจำลองไว้เนี้ยบมากครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกภาชนะดินเผา โครงกระดูกคน แม้กระทั่งโครงกระดูกสุนัข
ก็ทำเสียเหมือนของจริงเปี๊ยบจนดูไม่ออก
ผ่านเข้าไปอีกห้องที่มีป้ายเขียนเอาไว้ว่าเป็นหัวข้อวัฒนธรรมบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ห้องนี้จะถือว่าเป็นการสรุปภาพรวมของวัฒนธรรมบ้านเชียงก็ว่าได้
เพราะสองฟากทางเดินที่ลดเลี้ยวจัดเป็นหุ่นจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนก่อนประวัติศาสตร์รวมไปถึงสภาพแวดล้อมในยุคสมัยนั้นตามหลักฐานที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี
เรียกว่าเอาข้อมูลที่มีทั้งหมดมาประมวลผลสร้างสรรค์ให้เห็นเป็นตัวตนแบบสามมิติจับต้องได้กันเลยละครับ
(เอาเข้าจริงก็ห้ามจับนั่นแหละ เดี๋ยวพัง) อย่างน้อยก็ดูเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน
แม้แต่ชีวิตความเป็นอยู่ อาหารการกิน
รายละเอียดปลีกย่อยล้วนแต่สอดแทรกอยู่ในหุ่นจำลองทั้งสิ้น
ทำให้ดูสนุกน่าสนใจมากขึ้น
เหมือนย้อนยุคกลับไปอยู่ในบ้านเชียงสมัยเมื่อหลายพันปีก่อน
ได้เห็นได้สัมผัสกันจริง ๆ
อย่างที่พบหลักฐานว่ามีการล่าสัตว์ เขาก็ทำบรรยากาศรอบข้างเป็นป่า
พร้อมกวางจำลองยืนจังก้าตระหง่าน ถัดไปอีกด้านติด ๆ กันหุ่นจำลองนายพรานสมัยบ้านเชียงกำลังเอาหอกยาวแทงกวางที่ล้มนอนอยู่บนพื้น
หรือในส่วนของการเลี้ยงสัตว์ก็เห็นทำเป็นควายจำลองนอนหมอบอยู่ในคอกอย่างดี
มีฉากหลังเป็นบ้านเรือนชุมชนในสมัยนั้น
ที่ขาดไม่ได้ก็คือการปั้นภาชนะดินเผาเขียนลวดลายสีแดง
อันนี้เขาทำเป็นหุ่นคนสมัยบ้านเชียงกำลังนั่งประดิดประดอยปั้นหม้อใบใหญ่อยู่บนลานหน้าบ้าน
ท่ามกลางหม้อดินที่ปั้นเสร็จแล้วมากมาย รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ทั้งหลายแหล่ที่ใช้ในการปั้น
เช่นเดียวกันกับการทำเครื่องมือเครื่องประดับจากโลหะ
เราก็จะเห็นหุ่นจำลองชายชาวบ้านเชียงบ้างกำลังหลอมโลหะ บ้างเทโลหะลงในแม่พิมพ์
บ้างก็กำลังใช้ค้อนตอกตีให้เป็นรูปเป็นร่าง
เครื่องไม้เครื่องมืออะไรก็วางไว้ให้เห็นกันอยู่ มีให้ชมทุกขั้นตอนการผลิต
มาถึงตรงนี้ก็เห็นภาพของบ้านเชียงชัดเจนครับ
ในฐานะชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในบริเวณหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เริ่มต้นขึ้นอย่างน้อยกว่า
๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว
แถมยังมีวัฒนธรรมของชุมชนที่ปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิประเทศแบบที่ราบลุ่มได้เป็นอย่างดี
สามารถดึงเอาผลประโยชน์ออกมาจากสภาพแวดล้อมที่ประกอบด้วยป่าผสมที่ลุ่ม
มิหนำซ้ำยังรู้จักดัดแปลงสภาพแวดล้อมธรรมชาติบางส่วนให้กลายเป็นสภาพแวดล้อมระบบใหม่ที่เหมาะสำหรับการสำหรับการปลูกข้าว
จนกลายเป็นเศรษฐกิจหลัก
การดัดแปลงธรรมชาติก็ประสบผลสำเร็จมากจนสังคมวัฒนธรรมมั่นคง สามารถพัฒนาต่อ มาอีกเป็นระยะเวลานานนับพันปี
โดยมีพัฒนาการทางเทคโนโลยีในการทำภาชนะดินเผาและด้านโลหกรรมเกิดขึ้นด้วย
และนั่นก็คือเหตุผลที่บ้านเชียงได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก
ลงบันไดมาผมก็พบว่าเป็นห้องสุดท้ายพอดี
ห้องนี้จัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดค้นที่วัดโพธิ์ศรีในเมื่อปีพ.ศ.
๒๕๔๖ ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็เป็นภาชนะดินเผานั่นแหละครับนับร้อยใบ
จัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามยุคสมัยเรียงรายไว้ในตู้
ไล่เรียงไปตั้งแต่ภาชนะดินเผายุคต้น ภาชนะดินเผายุคกลาง
และภาชนะดินเผายุคปลาย
แถมพกด้วยเครื่องมือและเครื่องประดับที่ทำจากสำริดและเหล็กอีกนิดหน่อย
หลายคนอาจจะคิดว่ามีแต่หม้อดินเผาให้ดู
ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน
แต่ความจริงแล้วถ้าเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรมันก็ทำให้สนุกขึ้นมาได้
ยิ่งได้ข้อมูลจากนิทรรศการในห้องที่ผ่าน ๆ มาแล้วด้วย ดูเพลินไปเลยละครับ
ตัวหม้อเองก็มีความน่าสนใจอยู่แล้ว
ไหนจะทรวดทรงของหม้อที่แปลกตา บ้างก็ก้นกลม
บ้างก็ก้นแหลม บ้างก็มีขา ไหนจะขนาดที่หลากหลาย
มีตั้งแต่เล็กจิ๋วไปจนใหญ่เบ้อเริ่มเบ้อร่า
ไหนจะลวดลาย มีทั้งแปะนูน ทั้งขูดขีด ทั้งเชือกทาบ ทั้งเขียนลาย ฯลฯ ผมน่ะเดินวนไปเวียนมาดูตู้โน้นทีตู้นี้ทีอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายได้เป็นชั่วโมง ๆ
“เก็บข้อมูลไปทำรายงานหรือจ๊ะ
สงสัยตรงไหนถามได้นะ”
คุณพี่เจ้าหน้าที่หญิงที่นั่งเฝ้าห้องอยู่เห็นผมสนอกสนใจมากเป็นพิเศษกว่าใครเลยเข้ามาทักทาย
ผมได้แต่ยิ้มตอบไป (ไม่บอกหรอกครับว่ามาจากอ.ส.ท.
เพราะชอบเล่นบทปลอมตัวมาแบบร้อยตำรวจเอกในหนังไทย)
คุณพี่ก็ดีใจหายเดินนำหน้าพาไปชมพร้อมอธิบาย “
ภาชนะสีดำนี่จะมีแต่ยุคแรกเท่านั้น อย่างเป็ดดินเผาสีดำนี่ก็เหมือนกัน
สันนิษฐานว่าใช้ใส่น้ำ แต่รูปร่างมันอาจจะดูคล้ายคอมฟอร์ต
๑๐๐ สมัยใหม่ไปหน่อยนะ” นั่นแน่ะ
ลูกเล่นไม่เบาเหมือนกัน
พักเดียวก็รอบห้อง ได้ข้อมูลใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมมากมาย
ด้วยความประทับใจในการบริการ ผมก็เลยสอบถามชื่อเสียงเรียงนามได้ความว่าชื่อพี่สิริพรรณ
สุทธิบุญ ครับ
มารู้ทีหลังว่านามสกุลเดิมของคุณพี่เธอก็คือมนตรีพิทักษ์ ที่แท้เป็นลูกของคุณพจน์
มนตรีพิทักษ์ เจ้าของบ้านที่เป็นหนึ่งในหลุมขุดค้นนั่นเอง
“ตอนในหลวงกับพระราชินีเสด็จฯ
ทอดพระเนตรหลุมขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเชีย น่ะ พี่เรียนอยู่ป. ๔
ท่านเสด็จมาประทับที่บ้าน บ้านนั้นต่อมาพ่อพี่ก็ยกให้กรมศิลปากร ไปดูมารึยังล่ะ ที่เขาเรียกเรือนไทยพวนน่ะ
บ้านพี่เอง เดี๋ยวออกไปอย่าลืมแวะไปดูนะ ตอนนี้ปรับปรุงใหม่แล้ว”
ร่ำลาคุณพี่ใจดีกลับออกมาเกือบจะได้เวลาปิดทำการแล้ว ไม่น่าเชื่อครับ
เที่ยวดูตั้งแต่เช้า เพลิดเพลินจนลืมกินข้าวกลางวัน พอนึกได้ก็หิวแสบไส้มือไม้สั่นขึ้นมาทันที
ต้องรีบเข้าร้านอาหารหน้าพิธภัณฑ์ไปหาอะไรรองท้อง อิ่มหมีพีมันค่อยสบายขับรถคันเก่งเวียนไปดู หลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน
พิพิธภัณฑ์ที่หลุมขุดค้นซึ่งเป็นหลักฐานการฝังศพและโบราณวัตถุที่พบ ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๑๕
จำได้ว่าตอนผมมาเมื่อหลายปีก่อนมีปัญหาน้ำท่วมขังภายในหลุม แต่ตอนนี้เขาปรับปรุงใหม่แล้ว ยกของเก่าออกไป เอาแบบจำลองลงไปแทนที่
แต่ไม่บอกก็คงไม่รู้ เพราะเหมือนของจริงทุกประการ
รอบหลุมขุดค้นยังมีนิทรรศการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดโพธิ์ศรีใน เมื่อวันที่ ๒๐
มีนาคม ๒๕๑๕ รวมทั้งประวัติการขุดค้นตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๕ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ส่งท้ายไม่ลืมที่จะไปแวะดูเรือนไทยพวน หรือบ้านมนตรีพิทักษ์ที่ได้มอบบ้านและที่ดินให้กรมศิลปากรเมื่อพ.ศ. ๒๕๔๖–๕๐
กรมศิลปากรจึงได้ปรับปรุงเรือนไทยพวนเพื่อเป็นอนุสรณสถานในการเสด็จพระราชดำเนิน
มาทอดพระเนตรหลุมขุดค้นมนตรีพิทักษ์ เห็นเขาว่าจะจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวไทยพวนในอดีต
แต่ตอนที่ผมมานี่ยังไม่เห็น มีแต่เจ้าหน้าที่มากวาดลานบ้านอยู่ ทว่าแค่ได้มาดูมาเห็นสถาปัตยกรรมบ้านเรือนแบบไทยพวนที่สวยงามก็คุ้มค่าที่แวะเวียนมาแล้วละครับ
คืนนี้ผมกลับไปนอนหลับสบายเพราะยืน
ๆ เดิน ๆ มาทั้งวัน เมื่อยขาเหลือหลาย แถมยังฝันเห็นหม้อดินเผาบ้านเชียงหลากแบบหลายสไตล์ลอยวนเวียนไปมา
(ท่าจะบ้านเชียงขึ้นสมองแฮะ)
เยี่ยมศาสนสถานเพิงผา
ว่าที่มรดกโลก
มาถึงอุดรธานีทั้งที จะเที่ยวดูแค่บ้านเชียงที่เดียวก็คงจะไม่ครบถ้วนกระบวนความ เพราะยังมีอีกแห่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
นั่นก็คืออุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่แหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ธรรมดานะครับ
เพราะว่ามีร่องรอยหลักฐานว่าเป็นรอยต่อกันกับยุคประวัติศาสตร์เสียด้วย ที่สุดยอดไปกว่านั้นคือเป็นแหล่งโบราณคดีที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิทัศน์ธรรมชาติอันงดงามแปลกตาของป่าเขือน้ำ
บนเทือกเขาภูพานอันเป็นหนึ่งในต้นน้ำสำคัญที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง เรียกว่ารวมสามคุณสมบัติในหนึ่งเดียว
ครึ่งค่อนวันแล้วครับ
ที่ผมมาเตร็ดเตร่อยู่บนเส้นทางที่ลัดเลาะผ่านไปในผืนป่าโปร่ง
และลานหินที่เรียงรายด้วยหินซึ่งถูกกัดกร่อนจากกาลเวลาเป็นรูปร่างประหลาดเป็นเป็นเสาเป็นเพิงหินใหญ่ บรรยากาศชวนให้จินตนาการไปถึงเรื่องราวตำนานรักอันแสนเศร้าที่เล่าขานกันมา
อุสา-บารส
นางอุสาเป็นหญิงสาวที่เกิดขึ้นจากดอกบัว
พระฤาษีจันทาได้เก็บมาเลี้ยง ต่อมาท้าวกงพานเจ้าเมืองพาน
ซึ่งเป็นศิษย์ของพระฤาษีได้ขอนางไปเป็นราชธิดา เมื่อเจริญวัยขึ้นนางมีรูปโฉมที่งดงามและกลิ่นกายที่หอมกรุ่น
เป็นที่ปรารถนาของเจ้าชายหลายเมืองได้มาสู่ขอ
แต่ท้าวกงพานก็ทรงรักหวงแหนพระราชธิดาบุญธรรม ไม่ยอมยกให้ใคร
ถึงกับสร้างหอสูงไว้บนภูเขาเป็นตำหนักให้นางอุสา ขณะพำนักศึกษาวิชาอยู่กับพระฤาษี
วันหนึ่งนางอุสาได้ไปเล่นน้ำในลำธารใกล้
ๆ และได้เก็บดอกไม้มาร้อยเป็นมาลัยรูปหงส์ ก่อนจะเสี่ยงทายหาคู่ด้วยการลอยมาลัยไปกับสายน้ำ
มาลัยลอยไปถึงเมืองปะโคเวียงงัว ท้าวบารสซึ่งเป็นเจ้าชายทรงเก็บมาลัยได้จึงทรงม้าเสด็จออกตามหาเจ้าของมาลัยพร้อมด้วยข้าราชบริพาร
เข้าเขตเมืองพาน เมื่อถึงหินใหญ่ก้อนหนึ่งม้าก็ไม่ยอมเดินต่อ
ท้าวบารสจึงทรงผูกม้าไว้ก่อนจะพาบริวารเดินเที่ยวป่าในบริเวณนั้น
จนพบกับนางอุสาซึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ และได้รู้ว่าเป็นเจ้าของมาลัยที่เสี่ยงทาย จึงเกิดผูกสมัครรักใคร่กันขึ้น
แอบอยู่กินกันบนตำหนักหอนางอุสานั่นเอง
ต่อมาท้าวกงพานทรงทราบเรื่องก็พิโรธหนัก
จะจับท้าวบารสประหาร
แต่เหล่าเสนามาตย์ทัดทานเอาไว้เนื่องจากกลัวว่าจะมีปัญหากับเจ้าเมืองปะโค
ท้าวกงพานจึงออกอุบายท้าทายให้ท้าวบารสสร้างวัดแข่งกันให้เสร็จภายในวันเดียว
โดยนับเวลาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงดาวประกายพรึกขึ้น ใครสร้างไม่เสร็จจะต้องเป็นฝ่ายถูกประหาร
ท้าวกงพานได้เกณฑ์ไพร่พลมากมายมาช่วยกันสร้างวัดในขณะที่ท้าวบารสมีเพียงข้าราชบริพารที่ติดตามมา
จึงสร้างได้ช้ากว่า พี่เลี้ยงของนางอุสาจึงออกอุบายให้นำเอาโคมไฟไปแขวนบนยอดไม้ใหญ่กลางดึกทำทีเป็นดาวประกายพรึกขึ้นแล้ว
ฝ่ายไพร่พลของท้าวกงพานเห็นดังนั้นก็หยุดสร้างในขณะที่ฝ่ายท้าวบารสเร่งมือจนแล้วเสร็จทันเวลา
เป็นอันว่าท้าวกงพานต้องเป็นผู้ถูกประหารเสียเอง
หลังจากนั้นนางอุสาได้ติดตามท้าวบารสกลับเมืองปะโค
ทว่าที่เมืองนั้นท้าวบารสมีชายาอยู่แล้วหลายองค์ จึงอิจฉาริษยานางอุสา
สมคบกับโหราจารย์ให้ทำนายว่าท้าวบารสมีเคราะห์ร้าย
ต้องออกบำเพ็ญเพียรในป่าองค์เดียวเป็นเวลา ๑ ปี จึงจะพ้นเคราะห์
เมื่อท้าวบารสเสด็จออกนอกเมืองเหล่าชายาก็หาทางกลั่นแกล้งนางอุสาต่าง ๆ นา ๆ
จนในที่สุดนางทนไม่ไหวต้องหนีกลับไปอยู่กับพระฤาษี ก่อนจะล้มป่วยและสิ้นใจลงด้วยความตรอมใจบนหออันเคยเป็นรังรักในที่สุด
ผ่านไป ๑ ปี ท้าวบารสกลับมาถึงเมือง
ทราบข่าวก็รีบติดตามมา แต่ช้าเกินไป
เมื่อพบว่านางอันเป็นที่รักจากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว ท้าวบารสก็ตรอมใจสิ้นพระชนม์ตามไปด้วย
(เศร้า)
อดคิดเล่น ๆ
ไม่ได้ว่านี่ถ้ามีใครเอาไปสร้างเป็นละคร ชื่อประมาณว่า “รักรันทดบนภูพระบาท” เขียนบท ทำโปรดักชันให้ดี ๆ แบบเดียวกับละครซีรีส์เกาหลี
นักท่องเที่ยวที่มาคงจะมีจินตนาการและอารมณ์ร่วมซาบซึ้งไปกับสถานที่ได้ไม่ยาก เหมือนกับที่เกาหลีเขาใช้ละครในการโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวของเขาสำเร็จจนโด่งดังไปทั่วโลก
ทั้งที่เป็นแค่เรื่องแต่งขึ้นมาใหม่ล้วน ๆ
เรื่องราวในตำนานอุสา-บารสของเราขลังกว่าเป็นไหน
ๆ เพราะเป็นตำนานเก่าเล่าขานสืบกันมา
มิหนำซ้ำกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูพระบาทไปแล้วอย่างแยกไม่ออก
ก็บนเส้นทางที่ผมเดินผ่านมา เพิงหินทุกแห่งมีชื่อเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ตามตำนานทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นคอกม้าน้อย คอกม้าท้าวบารส สถานที่ผูกม้าของท้าวบารส ถ้ำฤาษี ที่อยู่ของพระฤาษีจันทา บ่อน้ำนางอุสา
สถานที่พบรักของนางอุสากับท้าวบารส หอนางอุสา
สถานที่ครองรักของทั้งสอง วัดพ่อตา กับวัดลูกเขย ที่ท้าวกงพานท้าวบารสสร้างแข่งกัน
มีแม้กระทั่ง หีบศพพ่อตา หีบศพนางอุสา
และหีบศพท้าวบารส ครบครันทุกตัวละคร
แต่ในทางโบราณคดีแล้วเพิงหินเหล่านี้มีความสำคัญในฐานะที่เป็นหลักฐานของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ครับ
เพราะมีร่องรอยภาพเขียนสีแดงเป็นรูปฝ่ามือ รูปคน และรูปสัตว์
รวมทั้งลวดลายเรขาคณิตตามเพิงผาและถ้ำต่าง ๆ (ที่เห็นชัดเจนเป็นชิ้นเป็นอันก็คือถ้ำวัวและถ้ำคน
ครับ) ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีกรรมบางอย่าง
แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงการเก็บของป่า ล่าสัตว์
อันเป็นวิถีการดำรงชีวิตของคนในยุคหลายพันปีก่อนด้วย
ที่แจ๋วไปกว่านั้นก็คือใต้เพิงเหล่านี้ได้ถูกใช้เป็นศาสนสถานต่อเนื่องกันมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์อีกต่างหาก
หลักฐานก็คือใบเสมาหินขนาดใหญ่ที่ปักล้อมรอบเพิงหินทรายหลายแห่ง วัดพ่อตา
วัดลูกเขย เป็นตัวอย่างการดัดแปลงเพิงหินเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งมีทั้งพุทธและฮินดู
เห็นได้จากถ้ำพระซึ่งจำหลักพระพุทธรูปในซุ้มเรือนแก้ว
รวมทั้งเทวรูปไว้ในเพิงหินใกล้ ๆ กัน
นอกจากนี้ยังมีการสร้างเจดีย์ขนาดเล็กบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เรียกได้ว่าภูพระบาทนี้เป็นกลุ่มโบราณสถานที่เก่าแก่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่
และมีความสืบเนื่องกันมายาวนานที่สุดแห่งหนึ่ง
ด้วยความโดดเด่นในข้อนี้เองอุทยานภูพระบาทจึงเป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งล่าสุดของไทยที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อให้ยูเนสโกพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ซึ่งมีวี่แววเสียด้วยว่าจะได้ ก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปละครับ
มรดกโลกทางธรรมชาติก็มีแล้ว มรดกโลกทางวัฒนธรรมก็มีแล้ว ภูพระบาทนี่ถ้าได้ก็จะเป็นมรดกโลกแบบผสมที่ประเทศไทยเรายังไม่เคยมี
ถึงตอนนั้นผมก็คงจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่ใหม่อีกครั้ง
แต่ตอนนี้ชักเมื่อยเต็มที
ขอกลับไปนอนพักผ่อนดูวีดีโอมัมมี่ก่อนก็แล้วกันครับ
เชื่อไหมนี่ที่ซื้อเอาไว้ยังดูไม่หมดเลย
ขอขอบคุณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท และเจ้าหน้าที่
ผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้สารคดีเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เอกสารอ้างอิง
ศิลปากร,กรม. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท.
มปพ.
ศิลปากร.กรม.มรดกโลกบ้านเชียง.
กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์,๒๕๕๐.
คู่มือนักเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัว
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๑
ไปเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๒ ที่จังหวัดสระบุรี ผ่านจังหวัดนครราชสีมา
ขอนแก่นถึงจังหวัดอุดรธานี รวมระยะทางประมาณ ๕๖๔ กิโลเมตร
รถโดยสารประจำทาง
มีบริการรถโดยสารปรับอากาศ ๒๔ที่นั่ง สายกรุงเทพฯ-อุดรธานี ออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ หมอชิต ๒ ทุกวัน
อัตราค่าโดยสาร ๖๔๐ บาท ใช้เวลาเดินทาง ๙ ชั่วโมง จองตั๋วได้ที่โทรศัพท์ ๐ ๒๙๓๖
๐๖๕๗
รถไฟ
การรถไฟแห่งประเทศไทยมีบริการรถไฟกรุงเทพฯ
–อุดรธานีทุกวัน อัตราค่าโดยสาร รถด่วน ชั้น ๒ ปรับอากาศ ๔๗๙ บาท ชั้น ๓ พัดลม ๒๔๕ บาท รถเร็วชั้น ๒ ปรับอากาศ ๓๒๙ บาท ชั้น ๓ พัดลม ๒๐๕ บาท
จองตั๋วได้ที่โทรศัพท์ ๐ ๒๒๒๐ ๔๔๔๔
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงอยู่ห่างจากตัวเมืองอุดรธานี ๕๕ กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๒ (อุดรธานี-สกลนคร) เลยสี่แยกเข้าอำเภอบ้านดุงไปเล็กน้อย
เลี้ยวขวาทางหลวงหมายเลข ๒๒๐๓ เข้าไปอีกประมาณ ๘
กิโลเมตรก็จะถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง โทรศัพท์ ๐ ๔๒๒๐ ๘๓๔๐
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อยู่ห่างจากตัวเมืองอุดรธานี ๖๗ กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข ๒ (อุดรธานี-หนองคาย) ระยะทางประมาณ ๑๓ กิโลเมตร
มาเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๐๒๑ ไปทางอำเภอบ้านผือ ระยะทางประมาณ ๔๒ กิโลเมตร
เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๓๔๘ อีก ๑๒ กิโลเมตร ก็ถึงที่ทำการอุทยานฯ โทรศัพท์
๐ ๔๒๒๕ ๑๓๕๐-๒ หรือขึ้นรถโดยสารรับจ้างสายอุดรธานี-บ้านผือ-น้ำโสม หรือสายอุดรธานี-นายูง ที่หน้าตลาดรังษิณา
อัตราค่าโดยสาร ๒๐ บาท ลงที่บ้านติ้ว
แล้วต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างขึ้นไปยังอุทยานฯ
อัตราค่าโดยสารประมาณ ๓๐ บาท ควรนัดหมายมอเตอร์ไซค์ให้มารับกลับด้วย
เพราะบนอุทยานฯ ไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
หมายเหตุ อัตราค่าโดยสารอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
ควรตรวจสอบก่อนเดินทางอีกครั้ง
No comments:
Post a Comment