ภาคภูมิ
น้อยวัฒน์...เรื่อง คลังภาพถ่ายเก่า
อนุสาร อ.ส.ท. ...ภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
ไม่ใช่เพราะตัวเลขระยะทางรวมอันแสนยาวไกลในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ต่าง
ๆ ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ หากแต่เพราะการเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์เป็นไปโดยพระมหากรุณาธิคุณเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทยเป็นสำคัญ
แม้จุดหมายปลายทางไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่
ไม่มีเส้นทางคมนาคมใด ๆ ตัดผ่าน เพียงแต่ที่นั่นมีประชาชนของพระองค์อาศัยอยู่ และประสบกับความทุกข์ยากในการทำมาหากิน เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ พระองค์ก็จะเสด็จไปโดยมิทรงหวาดหวั่นต่อความทุรกันดารยากลำบากใด
ๆ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับราษฎรของพระองค์
๑.
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชาวเขาในหมู่บ้านต่าง
ๆ ทางภาคเหนือ บนดอยปุย ใกล้กับพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ในปีพ.ศ.
๒๕๐๘ ทอดพระเนตรเห็นชีวิตความเป็นอยู่อันแร้นแค้นของชาวเขาและสภาพป่าที่ถูกทำลายเพื่อปลูกฝิ่น
พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริให้ตั้งสถานีวิจัยเกษตรหลวงอ่างขางขึ้นในปี พ.ศ.
๒๕๑๒ ทำการวิจัยพืชเมืองหนาว เพื่อพระราชทานให้ชาวเขาปลูกแทนฝิ่น เป็นโครงการส่วนพระองค์
ชื่อว่า“โครงการหลวงพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา” โดยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมคณะเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ว่า
“...ถ้าสามารถช่วยชาวเขาปลูกพืชที่เป็นประโยชน์บ้าง
เขาจะเลิกปลูกยาเสพติดคือฝิ่น
ทำให้นโยบายการระงับปราบปรามการปลูกฝิ่นและการค้าฝิ่นได้ผลดี
อันนี้ก็เป็นผลอย่างหนึ่ง ผลอีกอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมากก็คือ
ชาวเขาตามที่รู้เป็นผู้ทำการเพาะปลูกโดยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ถ้าพวกเราทุกคนไปช่วยเขาก็เท่ากับช่วยบ้านเมืองให้มีความดี
ความอยู่ดีกินดี และปลอดภัยได้อีกทั่วประเทศ เพราะถ้าสามารถทำโครงการนี้ได้สำเร็จ
ให้เขาอยู่เป็นหลักแหล่ง สามารถที่จะมีความอยู่ดีกินดีพอสมควร
และสนับสนุนนโยบายรักษาป่าไม้ รักษาดินให้เป็นประโยชน์ต่อไป ประโยชน์อันนี้จะยั่งยืนมาก...”
โครงการส่วนพระองค์ดังกล่าว ได้เติบโตขึ้นเป็นโครงการหลวงในปี
พ.ศ.๒๕๒๑โดยความร่วมมือจากจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนาโครงการหลวง
พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนชาวเขาลดการปลูกฝิ่นและฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร ศูนย์แต่ละแห่งครอบคลุมพื้นที่
๔-๙ หมู่บ้าน ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไป ไม่เพียงแต่ราษฎรในชุมชนแต่ละแห่งจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
ผืนป่าต้นน้ำลำธารรายรอบพื้นที่โครงการหลวงที่ได้รับการฟื้นฟูสภาพให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ยังงดงามด้วยทิวทัศน์กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่ช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ลงไปยังชุมชนในท้องถิ่นอีกด้วย
๒
“ที่เขายากจนต้องมาทำมาหากินในพื้นที่แห้งแล้งเช่นนี้
ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะมา แต่เพราะเขาไม่มีที่อื่นจะไป ที่ฉันช่วยเขา
ไม่ใช่ว่าจะช่วยตลอดไป แต่ช่วยเพื่อให้เขาได้มีโอกาสช่วยตัวเองได้ต่อไป” คือพระราชดำรัสหลังจากพระองค์เสด็จฯ
เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารในภาคอีสาน
พระองค์ทรงเข้าพระทัยดีว่าที่ชาวนา
ชาวไร่
เกษตรกรในชนบทโดยเฉพาะบนแผ่นดินอีสานยากจนทนทุกข์เนื่องจากทำเกษตรกรรมไม่ได้ผลผลิต
อันเนื่องมาจากขาดแคลนน้ำ จึงทรงทุ่มเทในการศึกษาหาหนทางแก้ปัญหา
พัฒนาและจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อให้ราษฎรได้อยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ที่บ้านกุดสิม
ตำบลคุ้มเก่า อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ดินแดนอันสุดแสนแห้งแล้ง ถึงขนาดต้องใช้น้ำค้างในการปลูกข้าว
โดยใช้ไม้แทงลงในดิน แล้วจึงนำต้นกล้าข้าวปักดำลงในหลุม ตอนกลางวันต้นข้าวโดนแดดแรง
จนยอดข้าวเหี่ยวเฉา ต้องรอจนถึงกลางคืน ได้รับน้ำค้าง ต้นข้าวถึงจะผงกยอดชูขึ้นได้
ในปีพ.ศ.๒๕๓๕
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้าน เสด็จไปยังกองข้าวที่ชาวบ้านเก็บเกี่ยวมา
ทรงหยิบต้นข้าวจากกอง ๑ ต้น ทอดพระเนตรสักครู่จึงรับสั่งว่า
“ต้นข้าวเหล่านี้มีเมล็ดลีบ
ในแต่ละรวงมีเมล็ดข้าวน้อย ผลผลิตข้าวที่ได้ไม่เพียงพอสำหรับการบริโภคในครัวเรือน
ให้ชลประทานหาน้ำมา เพียงเพิ่มความชุ่มชื้นให้พื้นที่นา ก็จะช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวเพียงพอสำหรับการบริโภคในครอบครัวได้”
จากนั้นพระองค์พระราชทานแนวพระราชดำริให้ก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ำลำพะยังภูมิพัฒน์ด้วยการเจาะอุโมงค์ลอดใต้เขาภูบักดี
ขนาดกว้าง ๓ เมตร สูง ๓ เมตร ยาว ๗๔๐เมตร แล้วสอดท่อเหล็กลอดเข้าไปในอุโมงค์ ส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยไผ่
อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ที่เอ่อท้นเหลือใช้อยู่ฟากหนึ่งของภูเขา
มาเติมเต็มอ่างเก็บน้ำลำพะยังตอนบน เขตอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ในอีกฟากฝั่งของภูเขา เพื่อแบ่งปันน้ำให้กับพื้นที่เพาะปลูก
เป็นการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพการใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่กรมชลประทานพัฒนาไว้แล้ว
ยังประโยชน์ครอบคลุมพื้นที่มากถึงประมาณ ๑๒,๐๐๐
ไร่ และทำให้ผลผลิตทางการปลูกข้าวของชาวนาเพิ่มมากขึ้นถึงสามเท่า
อุโมงค์แห่งนี้ปัจจุบันได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ตามรอยพระราชดำริ
ให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางด้านการบริหารจัดการน้ำ
๓
"หากปล่อยทิ้งไว้ จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด"
พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสอย่างทรงเป็นห่วง
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังห้วยทราย ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่
๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ แล้วทอดพระเนตรเห็นว่า จากที่เคยเป็นป่าไม้เขียวชอุ่ม
อุดมสมบูรณ์ เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า โดยเฉพาะ
“เนื้อทราย” ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากจนเป็นที่มาของชื่อ "ห้วยทราย" ได้ถูกราษฎรเข้าบุกรุกทำลายป่า ปราบพื้นที่เพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรม ไม่หลงเหลือป่าไม้และสัตว์ป่า เกิดความแห้งแล้ง
ฝนไม่ตกตามฤดูกาล และสภาพพื้นดินเสื่อมโทรม ทำการเกษตรกรรมไม่ได้ผล
จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้พื้นที่บริเวณห้วยทราย
เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามแนวพระราชดำริห้วยทราย พัฒนาด้านป่าไม้อเนกประสงค์
พัฒนาเกษตรกรรมควบคู่ไปกับการปลูกป่า
เพื่อฟื้นฟูสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรและปลูกป่า
จัดสรรที่ทำกินให้ราษฎรที่ได้เข้ามาบุกรุกทำกินอยู่แต่เดิมให้ได้เข้าอยู่อาศัยและให้ความรู้กับราษฎร
ให้ทำการเกษตรอย่างถูกวิธี รวมทั้งให้มีส่วนร่วมในการปลูกป่า ดูแลรักษาป่า
ตลอดจนให้ได้รับประโยชน์จากผลผลิตของป่า
เพื่อที่ราษฎรจะได้ไม่บุกรุกทำลายป่าอีกต่อไป
"...เป็นการสาธิตการพัฒนาเบ็ดเสร็จ หมายถึงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทุกด้านของชีวิตประชาชนที่จะหาเลี้ยงชีพในท้องที่จะทำอย่างไร
และได้เห็นวิทยาการแผนใหม่ จะสามารถที่จะหาดูวิธีการจะทำมาหากินให้มีประสิทธิภาพ...ด้านหนึ่งก็เป็นจุดประสงค์ของศูนย์ศึกษาฯ
ก็เป็นสถานที่สำหรับค้นคว้าวิจัยในท้องที่ เพราะว่าแต่ละท้องที่สภาพฝนฟ้าอากาศ
และประชาชนในท้องที่ต่างๆ กัน ก็มีลักษณะแตกต่างกันมากเหมือนกัน..."
ในวันนี้ผลการศึกษาที่สำเร็จถูกจัดแสดงไว้ในลักษณะ "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต" เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ที่ผู้สนใจสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้และนำความรู้และวิธีการกลับไปประยุกต์ใช้กับพื้นที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี
๔
อ่าวคุ้งกระเบน ตำบลคลองขุด
อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ป่าชายเลนบริเวณนี้สภาพธรรมชาติเคยเสื่อมโทรมอย่างหนักจากการบุกรุกเข้ามาทำมาหากินของราษฏร
เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จังหวัดจันทบุรี
เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๔ ราษฎรจังหวัดจันทบุรีร่วมทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามอัธยาศัย
จึงทรงมีพระราชดำริแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมจัดทำโครงการพัฒนาอาชีพการประมงและการเกษตรในเขตที่ดินชายฝั่งทะเล
จังหวัดจันทบุรี โดยใช้เงินที่ได้รับถวายเป็นต้นทุนดำเนินการ
"ให้พิจารณาจัดหาพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรมหรือพื้นที่สาธารณประโยชน์เพื่อจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา เช่นเดียวกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน
ให้เป็นศูนย์ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาในเขตที่ดินชายทะเล"
ปีพ.ศ.๒๕๒๕
จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน ขึ้นเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการศึกษาสาธิต
และการพัฒนาในเขตที่ดินชายทะเล
ปัจจุบันศูนย์แห่งนี้เป็นเหมือนโรงเรียนต้นแบบการอนุรักษ์ป่าชายเลนของไทย
มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเป็นสะพานไม้ทอดยาวเป็นระยะทาง ๑,๖๐๐ เมตรเข้าสู่บริเวณป่าชายเลนอันร่มรื่นเขียวขจี
ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยความเพลิดเพลิน
๕
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรภาคใต้อย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแตปีพ.ศ. ๒๕๐๒ ที่จังหวัดนราธิวาส ราษฎรในหลายพื้นที่ของถวายฎีการ้องเรียนเรื่องที่ดินทำกิน ปัญหาคือดินเปรี้ยวจัด
ชาวบ้านทำการเกษตรไม่ได้ผล
เมื่อทรงทราบถึงปัญหาและความทุกข์ยากของราษฎร ว่าเนื่องมาจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดนราธิวาส เป็นพื้นที่พรุที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
คือพรุบาเจาะและพรุโต๊ะแดง สภาพดินเป็นดินเปรี้ยวจัดไม่สามารถปลูกพืชได้ พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง
ศึกษาและค้นคว้าวิจัยหารูปแบบในการพัฒนาพื้นที่พรุให้ชาวบ้านสามารถใช้เป็นพื้นที่ทำกินได้
“ให้มีการทดลองทำดินให้เปรี้ยวจัด โดยการระบายน้ำให้แห้ง
และศึกษาวิธีการแก้ดินเปรี้ยว เพื่อนำผลไปแก้ปัญหาดินเปรี้ยวให้แก่ราษฏรที่มีปัญหาในเรื่องนี้
ในเขตจังหวัดนราธิวาส โดยให้ทำโครงการศึกษา ทำลองในกำหนด ๒ ปี
และพืชที่ทดลองควรเป็นข้าว...”
เป็นพระราชดำรัสถึงวิธีการที่ทรงเรียกว่า
“แกล้งดิน” ซึ่งแสดงถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ โดยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป
เพื่อให้ดินปล่อยแร่ธาตุที่เป็นกรดออกมา กลายเป็นดินที่มีกรดจัด เปรี้ยวจัดจากนั้นจึงค่อยใช้น้ำชะล้างดินควบคู่ไปกับปูนอย่างที่ทรงเรียกว่า
“ระบบซักผ้า” เมื่อใช้น้ำจืดชะล้างกรดในดินไปเรื่อย ๆ ความเป็นกรดก็จะค่อย
ๆ จางลง จนสามารถใช้เพาะปลูกทำการเกษตรได้
ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งรถรางเที่ยวชมศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง
ที่เป็นเสมือนโรงเรียนหรือศูนย์ฝึกอาชีพให้กับเกษตรกรภาคใต้ ในพื้นที่เต็มไปด้วยไร่นา สวนผักผลไม้ที่ปลูกไว้เพื่อสาธิตเป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้าน
รวมทั้งยังมีการสาธิตการเลี้ยงสัตว์พื้นบ้านอย่าง เป็ด ไก่ แพะ และวัว
รวมถึงการสาธิตวิธีการสกัดและแปรรูปน้ำมันปาล์ม
เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก
๖
กล่าวได้ว่าไม่มีแผ่นดินไทยแม้แต่เพียงตารางนิ้วเดียวที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่เคยทรงย่างพระบาทไปถึง
การเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ก่อให้เกิดโครงการในพระราชดำริเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชนมากกว่าสี่พันโครงการ
ภาพที่พสกนิกรชาวไทยคุ้นเคยต่อสายตาเป็นอย่างดีตลอดช่วงเวลาอันยาวนานถึง
๗๐ ปีในรัชสมัย ก็คือภาพของพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ต่างๆ
ของประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ประทับยืน ประทับนั่ง และบางครั้งทรงคุกพระชานุอยู่ในใจกลางแวดล้อมราษฎรของพระองค์
“ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า
นั่นคือคนไทยทั้งปวง” พระองค์เคยตรัสไว้ และเป็นความจริงเช่นนั้นตลอดมา
กระทั่งในวันนี้ แม้เสด็จสู่สวรรคาลัย แต่พระองค์ก็ยังคงประทับอยู่ท่ามกลางพสกนิกรของพระองค์เสมอ
ในหัวใจของคนไทยทุกคน
ตลอดชั่วกาลนาน...
No comments:
Post a Comment