ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิพม์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๙
หลายครั้งที่การเดินทางท่องเที่ยวในธรรมชาตินำพาความพิศวงสงสัยให้กับนักเดินทางอย่างเรา
ๆ ติดค้างอยู่ในใจอย่างไม่มีคำตอบ กับร่องรอยของปรากฏการณ์ธรณีที่มีความงดงามแปลกตา
บนพื้นผิวของทิวเทือกเขา แผ่นผา โถงถ้ำ แม้กระทั่งพื้นแผ่นดิน ยากจะหาคำอธิบายว่าสิ่งที่พบเห็นเกิดขึ้นได้อย่างไร
เพื่อกระจายความรู้ความเข้าใจในร่องรอยจากปรากฏการณ์ต่าง
ๆ ในธรรมชาติออกไปยังสาธารณชน กรมทรัพยากรธรณีจึงจัดกิจกรรมเดินทางทัศนศึกษาสื่อมวลชนสัญจรครั้งที่
๑ “ธรณีนี่นี้...น่าฉงน”ขึ้น บนเส้นทางสมุทรสาคร ราชบุรี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน- ๑ กรกฎาคม
๒๕๕๙ ที่ผ่านมา นำโดยนายทศพร นุชอนงค์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี
เริ่มต้นด้วยการลดเลี้ยวสู่วัดกลางคลอง
ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเยี่ยมชมเรือโบราณพนมสุรินทร์
เรือสินค้าไม้ทั้งลำสร้างด้วยเทคนิคแบบอาหรับโบราณ อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕
ร่วมสมัยกับทวารวดี นายนิรันดร์ ชัยมณี
นักธรณีวิทยาชำนาญการพิเศษของกรมทรัพยากรธรณีอธิบายว่า ทะเลอ่าวไทยปัจจุบันเมื่อ
๓๐,๐๐๐ ปีก่อนเคยเป็นแผ่นดิน เชื่อมต่อกับหมู่เกาะชวา กาลิมันตัน เรียกว่า “แผ่นดินซุนดา”
จนเมื่อ ๑๐,๐๐๐ ปีที่แล้วสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง น้ำแข็งขั้วโลกละลายลงสู่มหาสมุทร เกิดเป็นปรากฏการณ์น้ำทะเลเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก
พื้นที่ประเทศไทยสมัยนั้นน้ำทะเลรุกเข้ามาถึงอยุธยา
ลพบุรี สุพรรณบุรี สระบุรี ก่อนจะทรงตัวในระดับสูงกว่าปัจจุบันราว ๔-๕
เมตร จนถึงราว ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ ปีก่อน เกิดการตกตะกอนของแม่น้ำที่ปากอ่าว ในขณะที่น้ำทะเลถอยร่นไป
เกิดทะเลโคลนตมขึ้น กลายเป็นเส้นทางสัญจรค้าขายสำคัญในชื่อ “สุวรรณภูมิ” และ“ทวารวดี”
จุดที่พบเรือเป็นหลักฐานว่าบริเวณนี้อาจเป็นปากน้ำท่าจีนเก่าที่เชื่อมต่อกับทะเลสมัยนั้น
คณะทัศนศึกษาเดินทางต่อไปยังบ่อดินเอกชนที่ขุดดินขาย
บริเวณบ้านปากบ่อ ตำบลชัยมงคล อำภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร และที่บ้านตาลเรียง
ตำบลบัวงาม อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เพื่อชมร่องรอยของทะเลโบราณ จากความลึกของบ่อหลายสิบเมตรทำให้เห็นถึงชั้นดินในยุคแผ่นดินซุนดาอยู่ล่างสุดเป็นแนวสีเหลืองชัดเจน
ถัดขึ้นมาเป็นชั้นดินในยุคทะเลโบราณเป็นสีเทาดำลึกประมาณ ๒๐ เมตร พบซากเปลือกหอยทะเลโบราณอยู่จำนวนมาก
เมื่อน้ำทะเลย้อนกลับออกไปเมื่อสิ้นยุค ดินตะกอนปากแม่น้ำทับถมเพิ่มขึ้นมาก่อเกิดเป็นแผ่นดิน
ที่ต่อมาเป็นที่ตั้งของเมืองสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ
ในช่วงบ่ายที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี นายพิภพ บุญธรรม
รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีให้เกียรติมาต้อนรับคณะพร้อมนำเยี่ยมชมศึกษาเรื่องราวของเมืองโบราณอู่ทองในอดีต
ที่เป็นเมืองท่าและศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดี เมื่อครั้งทะเลเว้าลึกเข้ามาถึงสุพรรณบุรี
ลพบุรี และสระบุรี ซึ่งในขณะนั้นกรุงเทพฯ
สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสมุทรปราการยังเป็นทะเลอยู่
ปิดท้ายรายการของวันแรกด้วยการแวะเวียนเข้าไปเยี่ยมชมการแกะสลักหินพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ
ปางโปรดพุทธมารดาขนาดใหญ่ติดอันดับโลก ด้วยขนาดหน้าตักกว้าง ๒๔.๙๐ เมตร บนแผ่นผาเขาทำเทียมภายในพุทธมหาสถานเมืองโบราณอู่ทอง
ตามแผนการสร้างพระพุทธรูปแกะสลักหิน ๕ องค์ ๕ ปางตลอดแนวหน้าผาหินยาว ๘๐๐เมตร โดยองค์แรกคือองค์นี้
คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๐
คณะเข้าพักแรมที่บลูแซฟไฟร์กอล์ฟแอนด์รีสอร์ทในบ้านพักรูปเรือริมผืนน้ำกว้าง
ซึ่งในอดีตพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นขุมเหมืองแร่รัตนชาติขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
หลังจากแร่หมดไปจึงพัฒนาพื้นที่เป็นสนามกอล์ฟและรีสอร์ตบนเนื้อที่กว่า ๘,๐๐๐ไร่
หลังอาหารค่ำเป็นการพูดคุยสนทนาอย่างเป็นกันเองระหว่างวิทยากรกับสื่อมวลชนซึ่งสนใจสอบถามเรื่องราวทางธรณีวิทยาในประเด็นข้อสงสัยจากการเดินทางช่วงที่ผ่านมา
เช้าวันรุ่งขึ้นคณะทัศนศึกษาออกเดินทางขึ้นไปยังเนินเขาเตี้ย
ๆ หลังที่ว่าการอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ชมกองหินบะซอลต์ระเกะระกะที่เกิดจากลาวาออกมาสู่พื้นโลกทางปากปล่องภูเขาไฟ
นายนิวัติ บุญนพ ผู้อำนวยการส่วนประสานและสนับสนุนทางวิชาการ
กรมทรัพยากรธรณี อธิบายว่าปล่องภูเขาไฟที่บ่อพลอยนี้เกิดขึ้นเมื่อ ๓-๔ ล้านปีก่อน
เมื่อภูเขาไฟระเบิดลาวาจะไหลผ่านชั้นหินที่มีอัญมณีอย่างเพชร พลอย ไพลิน และนำพาออกมาด้วย
ทำให้ที่นี่มีอัญมณีมาก เป็นที่มาของชื่อบ่อพลอย
พากันเดินลงเนินมา ไม่ไกลจากกองหินภูเขาไฟเป็นแหล่งเสาหินหกเหลี่ยมแห่งเดียวในกาญจนบุรี
ซึ่งผอ.นิวัติอธิบายว่าปรากฏการณ์เสาหินหกเหลี่ยมเกิดจากลาวาไหลขึ้นมาเป็นแนวชั้นหนาเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว
เกิดการหดตัวและมีแรงดึงตัวในเนื้อหินหลอมละลาย ทำให้เกิดรอยแตกเป็นแนวลึกสม่ำเสมอและหลายชุด
ทำให้หินแตกเป็นแท่งๆ มักมีรูปหกเหลี่ยมบ้าง ห้าเหลี่ยมบ้าง แลดูเป็นแท่งเสาหินตามธรรมชาติในลักษณะตั้งตรงแลดูแปลกตา
ข้ามฟากถนนมายังวัดเขาวงจินดาราม ขึ้นเขาไปชมหลวงพ่อนิลประทานพร พระพุทธรูปทาสีดำทั้งองค์ซึ่งใช้นิลแท้ชิ้นเล็กมาประดับบนพื้นผิวองค์ท่านด้วย
เป็นสัญลักษณึงความเป็นแหล่งนิลคุณภาพในอดีตของอำเภอบ่อพลอย
ช่วงบ่าย
มุ่งหน้าสู่ความเขียวขจีของผืนป่าอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ โดยมี ร.ศ.ชัยพร
ศิริพรไพบูลย์ นำชมและอธิบายถึงกระบวนการเกิดถ้ำในภูเขาหินปูนว่าเกิดจากการกัดเซาะของลำธารใต้ภูเขา
เป็นถ้ำน้ำ และต่อมาเมื่อมีการทรุดตัวลงกลายเป็นถ้ำแห้ง
น้ำฝนที่ตกลงมาผ่านก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลายเป็นกรดคาร์บอนิคลงมาผสมผสานกับสารอินทรีย์เพิ่มความเข้มข้น
เมื่อซึมตามรอยแยกของหินปูนก็จะกัดกร่อนละลายกลายเป็นโพรงถ้ำ
เมื่อซึมลงมาจากเพดานถ้ำก็เกิดสะสมเป็นหินงอกหินย้อย ผ่านเวลานานไปหลังคาถ้ำพังลง
เกิดเป็นหลุมยุบ พร้อมกับพาชมถ้ำธารลอดน้อยเป็นตัวอย่างของถ้ำน้ำลอด
ในขณะที่ถ้ำธารลอดใหญ่เป็นตัวอย่างของถ้ำน้ำลอดที่ต่อมาหลังคาพังทลายลง
จากการเดินทางทัศนศึกษาครั้งนี้ ทำให้เกิดการเรียนรู้ทางธรณีวิทยาและมีความเข้าใจถึงกระบวนการเกิดปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยารูปแบบต่าง
ๆ มากขึ้น สามารถไขรหัส “ความลับทางธรณี” จากร่องรอยที่ผ่านกาลเวลามาได้
การเดินทางท่องเที่ยวในธรรมชาติครั้งต่อ ๆไป คงสนุกสนานมากขึ้น
เพราสัมผัสความงามได้ลึกซึ้งขึ้น
ที่สำคัญคือ...ไม่ต้องมีคำถามที่ค้างคาใจอีกต่อไปแล้ว
ผู้สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถชมวิดิทัศน์การเดินทางทัศนศึกษาครั้งนี้ที่ที่แฟนเพจ เฟซบุ๊ก ของอนุสาร
อ.ส.ท. www.facebook.com /osotho
No comments:
Post a Comment