เรือโบราณพันปี สมัยทวารวดี "พนมสุรินทร์" |
ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...รายงาน
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๕๔ ฉบับที่ ๑๐ ประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗
เมื่อเดือนกันยายน ปี พ.ศ.๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ในที่ดินของนายสุรินทร์และนางพนม
ศรีงามดี ในเขตหมู่ที่ ๖ ตำบลพันท้ายนรสิงห์
อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร
ระหว่างการขุดดินเพื่อปรับพื้นที่เตรียมการสำหรับทำบ่อเลี้ยงกุ้ง
ได้พบเรือไม้ขนาดใหญ่ความยาวกว่า ๒๐ เมตร จมอยู่ในดินเลนด้วยลักษณะพลิกตะแคง
หัวเรือหันไปทางทิศใต้ สร้างความแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นที่ลุ่ม
อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลถึง ๗.๕ กิโลเมตร จึงได้แจ้งให้กรมศิลปากรเข้าทำการสำรวจขุดค้น
ร่องรอยการยึดชิ้นส่วนต่าง ๆ เรือด้วยเชือก |
ผลการขุดค้นทางโบราณคดีเบื้องต้นพบไม้ทับกระดูกงูกลางลำเรือ
มีความยาว ๑๗.๖๕ เมตร ด้านล่างบากเป็นร่องสลับกัน สำหรับวางทับกงเรือ
ชิ้นส่วนไม้บนตัวเรือใช้เชือกสีดำผูกร้อยยึดแผ่นไม้ให้ติดกันแทนการใช้ลิ่มหรือน็อต
บางแผ่นเจาะรูตรงกลางแผ่นเพื่อร้อยเชือกเพิ่มความแข็งแรง พบเสากระโดงเรือ ๒ เสา
เสาแรกพบอยู่ทางทิศตะวันตกของเรือมีความยาว ๑๗.๓๗ เมตร
ตรงหัวเสาเจาะช่องสี่เหลี่ยม ด้านในมีรอกกลมทำด้วยไม้ติดอยู่
ส่วนโคนเสาบากเป็นแท่งสี่เหลี่ยม
สันนิษฐานว่าเป็นเดือยใช้สำหรับติดตั้งบนฐานเสาเรือ เสากระโดงเรืออีกเสาพบอยู่นอกตัวเรือทางทิศตะวันออก
โคนเสาด้านหนึ่งบากเป็นสี่เหลี่ยม อีกด้านหนึ่งเป็นครึ่งวงกลม
ทั้งยังพบเชือกหวายขนาดยาวพันอยู่ที่โคนเสาด้วย
ภาชนะดินเผา "แอมฟอรา" |
จากการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าเทคนิคการต่อเรือลำนี้เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในเรืออาหรับโบราณ. ในประเทศไทยเคยพบลักษณะนี้มาก่อนแล้วลำหนึ่งที่แหล่งเรือโบราณควนธานี
อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ภายในเรือยังพบสิ่งของเครื่องใช้สอยต่างๆ
ที่สำคัญที่สุดคือภาชนะดินเผาลักษณะคล้ายไหก้นแหลมเรียกว่า “แอมฟอร่า” อย่างที่ชาวโรมันใช้สำหรับบรรจุสินค้าของเหลว
เช่น ไวน์ หรือน้ำมัน นอกจากนั้นยังพบเครื่องถ้วยจีน
และภาชนะดินเผาสมัยทวารวดีอีกเป็นจำนวนมาก
โบราณวัตถุที่พบทำให้สามารถประมาณความเก่าแก่ของเรือได้ว่ามีอายุกว่าพันปี
เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของการเดินทางค้าขายทางทะเลข้ามทวีปจากดินแดนตะวันออกกลางผ่านอินเดียมายังภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในต้นพุทธศตวรรษที่
๑๑ ซึ่งหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่าบริเวณที่พบเรือในสมัยเมื่อพันปีก่อนเป็นแม่น้ำท่าจีนโบราณที่ยังเชื่อมเป็นทางน้ำเดียวกันกับแม่น้ำเจ้าพระยา
โดยการที่เรือหันหัวเรือไปทางใต้
แสดงให้เห็นว่าได้เกิดอุบัติเหตุอับปางลงในขากลับออกจากการค้าขายในเมืองท่าสมัยทวารวดี
แล้วถูกทับถมจากดินตะกอนเนิ่นนานนับพันปีก่อนจะถูกค้นพบในปัจจุบัน
เพื่อเป็นเกียรติแก่นายสุรินทร์และนางพนม ศรีงามดี
ซึ่งเป็นผู้ค้นพบเรือโบราณลำนี้ ทั้งยังเป็นเจ้าของที่ดิน
ซึ่งในเวลาต่อมาได้บริจาคที่ดินบริเวณแหล่งขุดค้น
มอบให้เป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อสาธารณประโยชน์ต่อไป
จึงได้นำชื่อของทั้งสองมาตั้งเป็นชื่อเรียกเรือโบราณลำดังกล่าวว่า
“เรือพนมสุรินทร์”
บรรยากาศการเสวนาประชาคม |
กรมศิลปากรตระหนักถึงความสำคัญ
ต้องการให้ประชาชนในชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ ในพื้นที่เข้ามาร่วมกันศึกษา
อนุรักษ์ และพัฒนาแหล่งเรือโบราณ อันถือได้ว่าเป็นโบราณสถานระดับชาติ
จึงได้มีการจัดเสวนาประชาคมเรื่อง “เรือโบราณพนมสุรินทร์” ครั้งที่ ๑ ขึ้นที่วัดวิสุทธิวราวาส(วัดกลางคลอง) ซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งที่ขุดพบเรือโบราณลำดังกล่าว
เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อเผยแพร่ความสำคัญของแหล่งโบราณคดีเรือโบราณ
แนวทางการอนุรักษ์ การบริหารจัดการและระดมความคิดเห็น สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ประชาชน
และหน่วยราชการท้องถิ่นทุกภาคส่วน โดยนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมการเสวนาแสดงความคิดเห็นได้แก่
ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นายอเนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร
นายทศพร นุชอนงค์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี
นางสาวนารีรัตน์ ปรีชาพีชคุปต์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี นายเอิบเปรม วัชรางกูร
หัวหน้ากลุ่มโบราณคดีใต้น้ำ พร้อมผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
ประชาชนเข้าชมไม้ทับกระดูกงูเรือในบ่อจัดแสดง |
ประชาชนในพื้นที่ตำบลพันท้ายนรสิงห์จำนวนมากที่ทราบข่าว ต่างพากันเดินทางมาเข้าชมเรือโบราณในบริเวณแหล่งขุดค้น
ซึ่งทางกรมศิลปากรได้ปล่อยน้ำซึ่งปกติท่วมมิดเรือออกบางส่วนเป็นการชั่วคราว
เพื่อให้เห็นรูปร่างของเรือที่จมอยู่ในโคลนกลางบ่อได้ชัดเจนขึ้น
โดยมีสปริงเกอร์พ่นน้ำหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา
เพื่อป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ
อธิบดีกรมศิลปากรเยี่ยมชมแหล่งขุดค้นเรือโบราณ |
นายอเนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากรเปิดเผยว่าด้วยความที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ของชาติ
กรมศิลปากรจึงมีความจำเป็นต้องรักษาหลักฐานเอาไว้ในแหล่งที่ขุดพบ อันจะเป็นการรักษาโบราณวัตถุจำพวกไม้
ชิ้นส่วนเรือต่างๆ,เชือก ซากสิ่งมีชีวิตต่างๆ
ทั้งพืชและสัตว์ และสิ่งของที่ค้นพบในเรือที่เป็นข้อมูลสำคัญไปในตัว โดยมีแนวคิดจะจัดสร้างเป็นอาคารถาวรครอบแหล่งขุดค้นไว้
จัดแสดงนิทรรศการให้เห็นขั้นตอนในการดำเนินการต่างๆ การขุดศึกษาทางโบราณคดี การสืบค้นทางประวัติศาสตร์
และการอนุรักษ์
ส่วนแผนระยะยาวในการพัฒนาแหล่งขุดค้นเรือโบราณแห่งนี้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ระดับชาติเกี่ยวกับการค้าทางทะเลในสมัยโบราณนั้น
อธิบดีกรมศิลปากรได้มอบหมายให้ทางสำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี และสำนักโบราณคดีใต้น้ำจัดทำแผนแม่บทอยู่
ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๑๐
ปีขึ้นไป ในลักษณะของการพัฒนาเมืองวัฒนธรรมท่องเที่ยว
เชื่อมโยงเข้ากับแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในบริเวณใกล้เคียง เช่น
ศาลพันท้ายนรสิงห์ ความคืบหน้าทางอนุสาร
อ.ส.ท.จะได้ติดตามมานำเสนอให้ทราบต่อไปเป็นระยะ
หมายเหตุ
ชมภาพถ่าย วิดิทัศน์ ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเรือโบราณพนมสุรินทร์และโบราณวัตถุต่าง
ๆ ที่ขุดพบเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/osotho
อนุสาวรีย์พันท้ายนรสิงห์ |
ศาลพันท้ายนรสิงห์ |
No comments:
Post a Comment