ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
(ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๕๘)
ปี พ.ศ. ๒๕๕๗- ๒๕๖๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาประกาศให้เป็นปีแห่งการเชิดชูเกียรติ
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) โดยในปี ๒๕๖๑ ที่จะถึงนี้จะครบรอบ ๑๕๐ ปีที่ท่านได้ปฏิบัติราชการในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในช่วงปี
พ.ศ.๒๔๑๑- ๒๔๑๖ ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ยังทรงพระเยาว์
อัจฉริยภาพของท่านปรากฏอยู่ในผลงาน ๗ ด้าน คือด้านกฎหมาย
ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการศึกษา, ด้านวรรณกรรม ด้านการพัฒนาประเทศ ด้านศิลปวัฒนธรรม
และด้านการเสริมสันติภาพและขันติธรรม เรียกได้ว่าเป็นผู้นำการพัฒนา
สร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับชาติบ้านเมือง จนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ
ด้วยเหตุนี้ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาจึงเตรียมยื่นเสนอองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก
ประกาศให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นบุคคลสำคัญของโลกในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และเพื่อเผยแพร่คุณูปการและภารกิจของสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ด้านต่างๆ
ทางมหาวิทยาลัยจึงได้จัดกิจกรรม“ตามรอย ๑๕๐ ปี
ศรีสุริยวงศ์” เพื่อเผยแพร่ผลงานของสมเด็จเจ้าพระยาฯตามวาระของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน
อันจะเป็นการเรียนรู้ถึงผลงานของท่านจากข้อมูลตามเส้นทาง
สนธิสัญญาเบาว์ริงนั้นเป็นหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างอังกฤษกับสยาม
ซึ่งมีผลบังคับทำให้สยามต้องยกเลิกระบบการค้าผูกขาดกับพระคลังสินค้าแบบดั้งเดิม ทั้งยังต้องเปิดการค้าแบบเสรี
อันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามมามากมาย ซึ่งในขณะนั้นหากไม่ทำสนธิสัญญา ทางอังกฤษมีแนวโน้มจะใช้กำลังทหารที่เหนือกว่าด้วยยุทโธปกรณ์อันทันสมัยเข้ารุกราน
ท่านสมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีบทบาทสำคัญในการเกลี้ยกล่อมขุนนางในกลุ่มอนุรักษ์นิยมจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยให้ยอมรับและในขณะเดียวกันก็ทำการเจรจากับทางอังกฤษโดยตลอด
ทำให้รักษาเอกราชของสยามเอาไว้ได้
เรือล่องลงไปตามแม่น้ำทางทิศใต้เปิดโอกาสให้คณะได้ชมทัศนียภาพอันงดงามริมฝั่งน้ำของพระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า)
พระบรมมหาราชวัง และบ้านเรือนวิถีชีวิตสองฟากฝั่ง พร้อมฟังบรรยายเกร็ดประวัติศาสตร์รายทางโดยอาจารย์นัท
จุลภัสสร จุดหมายแรกคือท่าเรือกรมเจ้าท่าซึ่งหลังเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริ่งมีการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของกรมเจ้าท่าที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาให้สามารถรองรับปริมาณการค้ากับต่างชาติที่มีเพิ่มมากขึ้น
คณะกลับมาลงเรือลอยลำชมอาคารเก่าของบริษัทอีสต์เอเชียติ๊ก
สถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิคอีกแห่งที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เช่นกัน เดิมชื่อบริษัท
แอนเดอร์เซ่น แอนด์ โก ประกอบธุรกิจหลักคือ ส่งออกไม้สักไปต่างประเทศ ถือเป็นบริษัทหนึ่งที่เกิดขึ้นและประสบความสำเร็จอย่างมากภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง
เทียบท่าอีกครั้งที่ท่าเรือตำรวจน้ำเยี่ยมชมอาคารเก่าศุลกสถานหรือโรงภาษี
สถาปัตยกรรมเป็นตึก ๓ ชั้น แบบยุโรปขนาดใหญ่ สร้างขึ้นตามข้อตกลงหนึ่งในสนธิสัญญาเบาว์ริง
ที่ระบุว่าจะต้องปลูกโรงภาษีให้ใกล้ท่าจอดเรือพอสมควรเพื่อความสะดวกในการติดต่อ
ตัวอาคารปัจจุบันแม้คร่ำคร่าและทรุดโทรมแต่ยังคงหลงเหลือร่องรอยความงดงามเนื่องจากเป็นผลงานการออกแบบของมิสเตอร์โจอาคิม กราซี
สถาปนิกผู้ออกแบบและก่อสร้างพระที่นั่งวโรภาษพิมาน ในพระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ซึ่งศุลกสถานแห่งนี้กำลังอยู่ระหว่างรอการบูรณะให้กลับมางดงามดังเดิมในอีกไม่นาน
ปิดท้ายรายการที่ท่าเรือเอเชียทีค
ในอดีตบริเวณนี้เป็นโกดังเก็บสินค้าของ บริษัท อีสต์เอเชีย ติ๊ก ซึ่งปัจจุบันยังพอมองเห็นถึงเค้าโครงดั้งเดิมของอาคารที่เป็นคลังสินค้าแม้ว่าจะมีการปรับปรุงสถานที่ให้เป็นเป็นศูนย์การค้าและแหล่งท่องเที่ยวไปแล้วก็ตาม
กิจกรรม “ตามรอย ๑๕๐ ปี ศรีสุริยวงศ์” เพื่อเผยแพร่ผลงานของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์นี้ยังคงจัดให้มีขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ
ไปจนกระทั่งถึงปี ๒๕๖๑ โดยหัวข้อจะปรับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์
ซึ่งทางอนุสาร อ.ส.ท. จะได้ติดตามกิจกรรมที่น่าสนใจมานำเสนอในโอกาสต่อไป
No comments:
Post a Comment