วัดพระเจ้าดำ ในกลุ่มโบราณสถานสบแจ่ม อิทธิพลสุโขทัย |
ภาคภูมิ
น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนเมษายน ๒๕๖๓
พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่-ลำพูนเป็นที่รู้กันมาว่าเป็นดินแดนที่มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ยาวนานนับพันปี
หากเพียงแต่หลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏหลงเหลือให้เห็นกลับพบแค่ในยุคสมัยของอาณาจักรหริภุญไชยและอาณาจักรล้านนาเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตามหลังจากกรมศิลปากรได้ทำการขุดค้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่องทำให้พบหลักฐานใหม่
ๆ ที่ย้อนหลังไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์รวมถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อประวัติศาสตร์บนแผ่นดินล้านนามากขึ้นตามลำดับ
รองอธิบดีกรมศิลปากร ตอบข้อซักถามสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทาง |
ล่าสุดเมื่อวันที่ ๒๖-๒๘ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ทางกรมศิลปากรได้จัดสื่อมวลชนสัญจร “ตามรอยอารยธรรมล้านนา ว่าด้วยโลหกรรม
สถาปัตยกรรม จิตรกรรมล้านนา กับการอนุรักษ์” ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน โดยนายพนมบุตร
จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร นำคณะสื่อมวลชนเหินฟ้าจากกรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่
ทัศนศึกษาดูงานความคืบหน้าในการขุดค้นและการอนุรักษ์ทางโบราณคดี โดยตั้งต้นกันที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
เชียงใหม่ ในบรรยากาศสบาย ๆ บนสนามหญ้าหน้าพิพิธภัณฑ์ใต้ร่มเงาไม้ เริ่มจากนายไกรสิน อุ่นใจจินต์
ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ บรรยายสรุปการอนุรักษ์โบราณสถานและแหล่งโบราณคดีในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
– ลำพูน เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมของการทำงาน
ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ บรรยายสรุป |
หลุมขุดค้นวัดท่ากานจำลองด้วยเครื่องปรินท์สามมิติ |
จากนั้นจึงเป็นการนำเสนอความคืบหน้าทางโบราณคดี
นางสาวนงไฉน ทะรักษา นักโบราณคดีปฏิบัติการนำเสนอข้อมูลใหม่จากการขุดค้นที่หลุมขุดค้นวัดท่ากาน
บริเวณเมืองโบราณเวียงท่ากาน อำเภอสันป่าตอง
จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๖ ได้พบหลักฐานสำคัญคือโครงกระดูกม้าโบราณสภาพเต็มโครงสมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย รวมทั้งโครงกระดูกมนุษย์โบราณไม่ต่ำกว่า
๔๐ โครง อายุร่วมสมัยกับวัฒนธรรมทวารวดี มีลักษณะการฝังศพที่แปลก
คือทั้งหมดปลงศพในท่านอนหงายงอเข่า เป็นการจัดวางศพในลักษณะพิเศษที่พบได้ยาก
(ปัจจุบันพบสุสานที่มีอายุร่วมสมัยทวารวดีซึ่งมีการปลงศพรูปแบบเดียวกันนี้อีกแห่งเดียวเท่านั้น
คือแหล่งโบราณคดีดงแม่นางเมือง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์)
หลุมขุดค้นจำลองวัดท่ากาน เก็บรายละเอียดได้อย่างน่าอัศจรรย์ |
ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกคือในโครงกระดูกโครงหนึ่ง
ระหว่างกระดูกสันกับสะโพกยังพบ “อุจจาระโบราณ” บริเวณช่องท้อง เป็นดินสีแปลก ลักษณะเป็นกลุ่มก้อน แตกต่างกับดินบริเวณรอบ
ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นหลักฐานที่พบได้ยากมาก สามารถนำไปใช้วิเคราะห์หาข้อมูลอาหารการกิน
ความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นอีกด้วย
หลุมขุดค้นวัดท่ากานถือว่ามีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นหลักฐานทางโบราณคดีเชิงประจักษ์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อประวัติศาสตร์ช่วงพุทธศตวรรษที่
๑๓-๑๗ ซึ่งพบยาก น่าเสียดายที่สภาพดินในหลุมขุดค้นมีความอ่อนตัวสูง จึงไม่สามารถรักษาสภาพเป็นหลุมขุดค้นไว้ในพื้นที่แบบถาวร
รวมทั้งไม่สามารถตัดแท่นในสภาพที่พบจริงเพื่อนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ได้
จึงจำเป็นต้องเก็บกู้กระดูกและโบราณวัตถุต่าง ๆ ขึ้นมาทั้งหมด
อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ทางกรมศิลปากรได้บันทึกภาพหลุมขุดค้นโดยละเอียดนำมาประมวลผลด้วยโปรแกรม Reality Capture พิมพ์เป็นแบบจำลองสามมิติด้วยเส้นพลาสติกในอัตราส่วน
๑ ต่อ ๕๐ แล้วลงสีจนได้แบบจำลองหลุมขุดค้นทางโบราณคดีวัดท่ากานย่อส่วนเสมือนของจริงที่ใช้ในการเรียนรู้ศึกษาได้อย่างดี
ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการโบราณคดีไทย
อุปสัมปทาสถานครูบาศรีวิชัย วัดบ้านโฮ่งหลวง วัดบ้านโฮ่งหลวง |
ช่วงสายคณะทัศนศึกษาออกเดินทางด้วยรถตู้ไปยังอำเภอลี้
จังหวัดลำพูน โดยใช้ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖
ระหว่างทางได้แวะสักการะอุโบสถอุปสัมปทาสถานครูบาศรีวิชัย วัดบ้านโฮ่งหลวง บนที่ธรณีสงฆ์ของวัดบ้านโฮ่งหลวงเดิม บ้านโฮ่ง หมู่ที่
๒ ตำบลบ้านโฮ่ง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ระยะห่างจากที่ว่าการอำเภอบ้านโฮ่ง
ประมาณ ๒ กิโลเมตร ในวันที่ ๑๑ มิถุนายนจะมีงานบำเพ็ญบุญทักษิณานุปทาน เปลี่ยนผ้าครองรูปเหมือนครูบาศรีวิชัยทุกปี
เตาถลุงเหล็กโบราณก่อนประวัติศาสตร์ |
ที่อาคารศูนย์การเรียนรู้ องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ลาน นายยอดดนัย
สุขเกษม นักโบราณคดีได้นำชมเตาถลุงเหล็กโบราณ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
๙๐ เซนติเมตร ที่ได้จากการขุดค้นเพื่อศึกษาแหล่งถลุงเหล็กโบราณในพื้นที่บ้านแม่ลาน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เมื่อปี
พ.ศ.๒๕๖๒ ถือเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง เนื่องจากมีอายุราวพ.ศ.๒๙๔ หรือราวพุทธศตวรรษที่ ๓ อยู่ในช่วงต้นยุคเหล็กของประเทศไทย ก่อนการสถาปนารัฐหริภุญไชยกว่า๑,๐๐๐ ปี แสดงให้เห็นว่าภาคเหนือมีชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่พัฒนาการเข้าสู่ยุคเหล็กพร้อมกันกับภูมิภาคอื่นเช่นกัน
ร่องรอยเตาถลุงเหล็กที่พบอยู่ทั่วไปในพื้นที่ |
จากการสำรวจในเบื้องต้นพบร่องรอยของแหล่งถลุงเหล็กและเหมืองแร่เหล็กโบราณขนาดใหญ่กระจายอยู่ในแอ่งที่ราบบ้านโฮ่ง-ลี้
ประมาณ ๔๐ แห่ง และได้ข้อมูลว่าอาจมีเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า ๕๐ แหล่ง นับได้ว่าเป็นแหล่งโลหกรรมเหล็กโบราณใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
และถือเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาเรื่องราวของผู้คนภาคเหนือในยุคก่อนหริภุญไชยต่อไป
อุโบสถกลางน้ำ |
วันที่สองคณะทัศนศึกษาซึ่งมาพักอยู่ในอำเภอแม่แจ่มตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำ
ออกเดินทางไปแวะแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่วัดพระพุทธเอ้น ที่มีน้ำผุดออกจากใต้พื้นดินไหลออกมาไม่ขาดสายและอุโบสถไม้กลางน้ำ
ฝีมือช่างพื้นบ้านงดงามแปลกตา
นิทรรศการเกี่ยวกับการอนุรักษ์จิตรกรรมวัดป่าแดด |
จากนั้นไปชมผลงานการอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างพื้นถิ่นภายในวิหารวัดป่าแดด
อายุกว่าร้อยปี ซึ่งนางสาวกรอุมา นุตะศรินทร์
นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการพิเศษ จากกองโบราณคดี เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นว่ามาจากโครงการคัดลอกจิตรกรรมฝาผนังในพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์
ในปี ๒๕๕๙ ซึ่งพระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรเห็นความทรุดโทรมของวิหารวัดป่าแดด
จึงมีพระดำริให้กรมศิลปากรเข้ามาบูรณะอาคารวิหารเป็นการเร่งด่วน
จิตรกรรมในวิหารวัดป่าแดด งดงามด้วยความเป็นพื้นถิ่น |
วิทยากรนำชมจิตรกรรมในวิหาร |
ราวบันไดวิหารวัดป่าแดด ประดับปูนปั้นมกรคายมกรคาบสิงห์ |
จากนั้นกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม
กองโบราณคดีได้เข้ามาดำเนินการอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังซึ่งเขียนขึ้นโดยช่างชาวไทยใหญ่ในแบบศิลปกรรมพื้นถิ่นด้วยสีฝุ่นบนพื้นปูนและพื้นไม้
เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ และมโหสถชาดก วิธูรชาดก จันทคาธชาดก
และเวสสันดรชาดก
รวมทั้งบูรณะประติมากรรมปูนปั้นประดับราวบันไดหน้าวิหาร
ซึ่งมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวไม่เหมือนที่ไหนตรงที่ช่างทำเป็นรูปมกรคายมกรงับบั้นท้ายสิงห์เชิงบันได
แตกต่างจากวิหารล้านนาแห่งอื่น ๆ ซึ่งจะทำเป็นมกรคายนาค
"กิจกูฏ" ศิลปกรรมที่โดดเด่นของวัดยางหลวงในวิหาร |
เดินทางต่อไปยังวัดยางหลวงเพื่อชมภายในอุโบสถ
ศิลปกรรมน่าสนใจของวัดตั้งอยู่ด้านหลังพระประธานเรียกว่า “กิจกูฏ” (อาจหมายถึงเขาคิชฌกูฏ
หนึ่งในห้าของภูเขาที่ล้อมรอบกรุงราชคฤห์ นครที่พระพุทธเจ้าประทับ)
ลักษณะคล้ายกับโขงพระเจ้าหรือกู่พระเจ้า มีซุ้มจระนำสองข้าง
กึ่งกลางประดิษฐานพระพุทธรุปยืน ซุ้มทางเหนือประดิษฐานพระพุทธรุปปางเปิดโลก
ส่วนซุ้มทางใต้ประดิษฐานพระพุทธรุปปางประทานอภัย
มีรูปแบบการตกแต่งพิเศษที่แตกต่างจากศิลปกรรมล้านนาทั่วไปหลายแห่ง เช่น
สิงห์ประดับซุ้มเป็นประติมากรรมรูปสิงห์ยืนแบบอินเดีย
ลวดลายปูนปั้นตกแต่งที่ผสมผสานทั้งศิลปะพม่าแบบพุกาม ศิลปะล้านนา และศิลปะพื้นถิ่น
เข้าด้วยกันอย่างลงตัว
เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ วัดพระเจ้าดำ กลุ่มโบราณสถานสบแจ่ม |
ขบวนรถตู้แล่นออกจากอำเภอแม่แจ่มผ่านเส้นทางคดโค้งของขุนเขาลงมาถึงอำเภอจอมทอง
จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงดวงตะวันกำลังทอแสงทองของยามเย็น ที่บ้านสบแจ่มฝั่งขวา ตำบลบ้านแปะ
คณะทัศนศึกษาแวะลงเยี่ยมชมกลุ่มโบราณสถานสบแจ่ม ซึ่งปรากฏสถาปัตยกรรมอิทธิพลศิลปะสุโขทัยจำนวนมากอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในดินแดนล้านนา
นายสายกลาง
จินดาสุ นักโบราณคดีชำนาญ นำชมบริเวณวัดพระเจ้าดำ
ที่มีขนาดใหญ่และมีความชัดเจนของอิทธิพลสุโขทัยด้วยเจดีย์ประธานของวัดทรงพุ่มข้าวบิณฑ์และแนวกำแพงวัดก่ออิฐเป็นเสากลมเลียนแบบเสาศิลาแลงที่ถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของงานศิลปกรรมในกลุ่มรัฐสุโขทัย
วัดช้างรอบ เจดีย์โบราณอิทธิพลสุโขทัยอีกแห่งในกลุ่มโบราณสถานสบแจ่ม |
จากนั้นนำคณะเดินไปชมเจดีย์วัดช้างรอบโบราณสถานสถาปัตยกรรมสุโขทัยอีกแห่งที่อยู่ลึกเข้าไปในสวน
สันนิษฐานได้ว่ากลุ่มโบราณสถานสบแจ่มนี้มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ สอดคล้องกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่พญากือนาทรงนิมนต์พระสุมนเถระจากเมืองสุโขทัยมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองเชียงใหม่ในปี
พ.ศ.๑๙๑๒ จึงถือเป็นหลักฐานสำคัญอันแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างล้านนากับสุโขทัยที่สมบูรณ์มากที่สุด
หอพระเจ้า วัดผาลาด สกทาคามี |
สภาพก่อนการบูรณะ |
จุดหมายแรกของคณะในวันสุดท้าย คือวัดผาลาด สกทาคามี วัดโบราณตั้งอยู่บนเส้นทางเดินเท้าจากเมืองเชียงใหม่ขึ้นไปยังวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวล้านนาใช้กันมาต่อเนื่องตั้งแต่รัชสมัยพญากือนา ด้วยทำเลน้ำตกไหลผ่านตลอดทั้งปี จึงมีการขุดบ่อน้ำซับเพื่อการบริโภค สร้างวิหารและเจดีย์ขึ้นเพื่อเป็นที่สักการบูชา รวมไปถึงศาลาพักค้างแรม
พระพุทธรูปภายในหอพระเจ้า ศิลปกรรมแบบพม่า |
วิทยากรนำชมรายละเอียดการบูรณะ |
ปิดท้ายรายการทัศนศึกษาครั้งนี้ด้วยการเยี่ยมชมแนวกำแพงและคูเมืองของเวียงเจ็ดลิน เมืองโบราณเชิงดอยสุเทพ ภายในอาณาบริเวณล้อมรอบด้วยแนวคันดินและคูน้ำก่อขึ้นเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๙๐๐ เมตร ชื่อของเวียงเจ็ดลินสันนิษฐานว่ามาจากการที่มีลำน้ำ ๗ สายไหลรวมกันบริเวณเวียงแห่งนี้ ซึ่งความเป็นมายังคงเป็นปริศนา เพราะหากยึดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในตำนานระบุว่าสร้างโดยฤาษีให้กับชนพื้นเมืองคือชาวลัวะปกครองกันเอง ส่วนเอกสารประวัติศาสตร์อื่น ๆ กล่าวถึงการสร้างเวียงเจ็ดลินในสมัยพญาสามฝั่งแกน ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐
ในขณะที่หลักฐานทางโบราณคดีจากการเจาะดินจากกำแพงไปหาค่าอายุด้วยวิธีเรืองแสงความร้อน ได้อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ และการขุดค้นแนวกำแพงทางทิศเหนือพบชิ้นส่วนเครื่องถ้วยสันกำแพง กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ และล่าสุดจากการขุดค้นภายในพื้นที่เมืองเมื่อปี ๒๕๕๒ พบร่องรอยการใช้พื้นที่มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ปริศนาต่าง ๆ บนแผ่นดินล้านนายังมีอยู่อีกมากมาย แต่ตราบใดที่การขุดค้นและศึกษาทางโบราณคดีของกรมศิลปากรยังคงดำเนินต่อไป สักวันหนึ่งข้างหน้าอาจจะพบข้อมูลใหม่ ๆ ที่จะใช้เป็นกุญแจไขปริศนาเหล่านี้ได้
และเมื่อถึงวันนั้นอนุสาร อ.ส.ท. จะได้นำความคืบหน้ามารายงานให้ทราบต่อไป
No comments:
Post a Comment