ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. สิงหาคม ๒๕๖๑
ช่วงที่ผ่านมานี้ กระแสความนิยมจากละครโทรทัศน์ “บุพเพสันนิวาส”
ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นักท่องเที่ยวแต่งชุดไทยโบราณหลั่งไหลเดินทางมาเที่ยวตามรอยละครที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งปรากฏอยู่ในเรื่องราวของละคร จะเนืองแน่นเป็นพิเศษด้วยบรรดา
“ออเจ้า” ทั้งหลาย (แม่การะเกดก็เยอะ แม่กาละแม แม่กาละมังก็แยะ) นี่ขนาดละครวนมาฉายจนจบไปเป็นรอบที่สองแล้วยังไม่มีวี่แววจะลดจำนวนลงแต่อย่างใด
เดินกันให้ขวักไขว่ทั่วกรุงศรี ฯ
มาอยุธยาคราวนี้ผมจึงอยากจะชวนคุณผู้อ่านมาท่องเที่ยวในแนว “ตามรอย” กันบ้าง
ไม่ใช่ตามรอยละคร”บุพเพสันนิวาส”
นะครับ นั่นเขาตามกันจนพรุนไปแล้ว วัดไหนอยู่ในฉากไหน ทำป้ายมาติดบอกเอาไว้เสร็จสรรพ
แถมด้วยรูปคู่ของ “พี่หมื่น”กับ “แม่การะเกด” มาติดไว้อย่างดี
ตั้งแต่หน้าวัดเข้าไปจนถึงข้างในเลยทีเดียว
ของผมนี่ขอเรียกว่าตามรอยเส้นทาง “บุพเพสันนิบาต” ครับ
อย่าทำหน้างง ๆ อย่างนั้น ชื่อนี้มีความหมายครับ “บุพเพ” แปลว่า แต่ครั้งก่อน “สันนิบาต” แปลว่า
การมาชุมนุมกัน จะให้สละสลวยหน่อยก็ต้องแปลว่าการรวมเรื่องราวของแต่ครั้งก่อน
สรุปให้ง่าย ๆ ก็คือผมจะชวนคุณผู้อ่านมาท่องเที่ยวตามรอยเรื่องราวในประวัติศาสตร์นั่นเอง
ตั้งชื่อล้อเลียนละครเรื่องดังให้มันเก๋ ๆ ไปยังงั้นเองแหละครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ความจริงแล้วนอกเหนือจากโบราณสถานอันเป็นสถานที่ถ่ายทำละคร
“บุพเพสันนิวาส”ที่ว่า พระนครศรีอยุธยายังมีโบราณสถานอีกเยอะแยะครับ แม้ว่าจะไม่ได้ปรากฏอยู่ในละคร
ทว่าแต่ละสถานที่เต็มไปด้วย “เรื่องราว” ในประวัติศาสตร์ แม้ข้อมูลในบางส่วนจะยังเลือนรางและสับสนอยู่บ้าง
แต่ก็น่าสนใจและสนุกสนานตื่นเต้นไม่แพ้ละคร (เผลอ ๆ จะสนุกกว่าอีกด้วยซ้ำไป)
โบราณสถานเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วพระนครศรีอยุธยาทั้งในเกาะเมืองและนอกเกาะเมือง
ผมมานั่งดู ๆ ไปแล้ว จัดเป็นเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยประวัติศาสตร์ “กรุงเก่า”
พระนครศรีอยุธยาได้อย่างสบายเลยทีเดียว แบ่งหมวดหมู่กลุ่มโบราณสถานในแต่ละทิศ
ทั้งบนเกาะเมืองและรอบเกาะเมือง แถมเรียงลำดับตามเหตุการณ์สำคัญ ๆ ได้อย่างค่อนข้างเหมาะเจาะลงตัวอีกต่างหาก
เบื้องบูรพา ศรีรามเทพนครอโยธยา แรกเริ่มความรุ่งเรือง
ออเจ้าเอย...เคยรู้หรือไม่
...(เพลงประกอบละครนำมาก่อนเลย สร้างบรรยากาศ)
บริเวณฝั่งตะวันออกของตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาปัจจุบัน แรกเริ่มนั้นเป็นที่ตั้งของเมืองอโยธยา
หรือชื่อเต็มอันไพเราะเพราะพริ้งว่า “อโยธยาศรีรามเทพนคร” มีฐานะเป็นเมืองท่าค้าขายทางทะเลสำคัญของอาณาจักรละโว้หรือลวปุระ
ซึ่งเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี
เรื่องราวของเมืองอโยธยานี้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารชัดเจนครับ
เพียงแต่นักวิชาการเมื่อก่อนมองไปว่าเป็นนิทานปรัมปราไปเสียอย่างนั้น
ทั้งที่มีรายพระนามกษัตริย์ผู้ครองเมืองอโยธยาบันทึกไว้หลายพระองค์
พระนามที่รู้จักกันดีได้แก่ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง
พระยาธรรมิกราชา เป็นต้น
หลักฐานสำคัญที่สุดที่ยืนยันการมีอยู่จริงของเมืองอโยธยา
คือ “พระเจ้าแพนงเชิง” พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดมหึมาหน้าตักกว้าง
๒๐ เมตรเศษ สูงถึง ๑๙ เมตร ที่เรารู้จักกันในนาม “หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง” นั่นแหละครับ
พงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ซึ่งเป็นฉบับที่น่าเชื่อถือที่สุด
ระบุว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ.๑๘๖๗ ก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี
การสร้างพระพุทธรูปยิ่งใหญ่และงดงามได้ขนาดนี้ สะท้อนให้เห็นว่าต้องเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจรุ่งเรือง
พร้อมทั้งมีศิลปวิทยาการขั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่เพียงเท่านั้น ยังปรากฏโบราณสถานของเมืองอโยธยาหลงเหลือให้เห็นเป็นประจักษ์พยานกันอยู่อีกไม่น้อย
ตั้งเรียงรายกันอยู่เป็นแถวเป็นแนวไป ตั้งแต่วัดใหญ่ชัยมงคล วัดสามปลื้ม วัดสมณโกฏฐาราม
วัดนางคำ วัดกุฎีดาว วัดจักรวรรดิ์ วัดมเหยงค์ วัดวัดสีกาสมุด และวัดอโยธยา เพียงแต่ว่าต้องใช้ความสังเกตพอสมควรในการชมครับ
เพราะแต่ละวัดได้มีการสร้างศาสนสถานเพิ่มเติม รวมทั้งบูรณปฏิสังขรณ์ซ้อนทับในสมัยอยุธยาหลายต่อหลายหน
ศิลปกรรมแบบอโยธยาที่หลงเหลือมาให้เห็นกันในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรม
สังเกตได้ง่าย ๆ คือ องค์เจดีย์แปดเหลี่ยมตั้งบนฐานสี่เหลี่ยม
ก่ออิฐดินเผาที่ขัดฝนจนเรียบ ใช้ดินผสมยางไม้และมโนศิลาสอแทนปูนจนเนื้อแนบสนิทตามระบบการก่อสร้างโบราณของอินเดีย
ที่สำคัญคือก่อให้ภายในเจดีย์กลวง องค์ระฆังกลมแนวองค์ระฆังมองจากด้านข้างเป็นเส้นตั้งแบบเจดีย์ปาละของอินเดีย
(ในขณะที่เจดีย์แบบอยุธยาองค์ระฆังเป็นเส้นเอียงผายออก) นิยมปั้นปูนกลีบบัวประดับที่องค์ระฆัง นอกจากนี้ยังนิยมสร้างพระพุทธรูปแกะสลักขึ้นจากหินทราย
ต่างจากสมัยอยุธยาที่นิยมใช้การปั้นปูน (ศิลปกรรมแบบอโยธยานี้นิยมเรียกกันว่าศิลปกรรมแบบอู่ทอง)
เมื่อสามสิบปีก่อนตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผมเคยมาตระเวนเที่ยวชมวัดในแถบนี้
สมัยนั้นเข้ามาดูมาชมยากมากครับ เพราะพื้นที่รกร้างเป็นป่า มีบ้านคนตั้งอยู่บ้างเพียงประปราย
ยังมีโอกาสได้เห็นภายในเจดีย์วัดนางคำที่ก่ออิฐแนบสนิทและกลวงขึ้นไปจนถึงยอด
และมีเศียรพระพุทธรูปหินทรายพิงอยู่บนเนินดินหลังเจดีย์ กับวัดสีกาสมุดในสภาพถูกขุดกรุจนองค์ระฆังพรุนจนเหลือแกนปล้องไฉนตั้งอยู่ง่อนแง่น
วัดช้างจมอยู่ในป่าหญ้ารกสูงท่วมหัว เห็นแต่เจดีย์โผล่อยู่ไกล ๆ จะเข้ามาดูมาชมแต่ละวัดยากลำบากพิลึก
มาวันนี้โบราณสถานในแถบเมืองอโยธยาได้รับการบูรณะขุดแต่งจากกรมศิลปากรเป็นอย่างดี
ทว่าหลายสิ่งไม่อาจพบเห็นได้อีก อย่างภายในเจดีย์วัดนางคำที่กลวง ปัจจุบันซ่อมปิดองค์ระฆังที่โหว่เรียบร้อย
หรือเศียรพระศิลาทรายชำรุดบนเนินวัดนางคำ
ตอนนี้หายไปแล้ว (หวังว่าคนที่มาเก็บเอาไปดูแลจะเป็นกรมศิลปากรนะ
ไม่ใช่พ่อค้าของเก่า)
แต่ถนนหนทางเข้าถึงหมด เข้ามาเที่ยวชมได้ง่ายทุกแห่ง ใครมีโอกาสมาเที่ยวอยุธยาจึงน่าจะเข้ามาเยี่ยมชมร่องรอยความรุ่งเรืองของเมืองอโยธยากันเอาไว้เป็นขวัญตาครับ
เมืองอโยธยาศรีรามเทพนครอันรุ่งเรืองสุดท้ายได้กลับกลายเป็นเมืองร้างไปอย่างเป็นปริศนา
สันนิษฐานกันว่าเกิดโรคระบาดที่แพร่มาจากเรือสำเภาต่างชาติที่เข้ามาทำการค้า ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก
ที่เหลือรอดก็อพยพโยกย้ายทิ้งเมืองไป จนวัดวาอารามรกร้างตกอยู่ในสภาพปรักหักพัง กระทั่งพระเจ้าอู่ทองเสด็จมาสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ในหลายปีต่อมา
เบื้องทักษิณ เวียงเล็ก อลังการงดงามอารามหลวง
เลียบเลาะตามถนนมาทางทิศใต้นอกเกาะเมือง บริเวณนี้เป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวน่าสนใจต่อเนื่องมาจากฝั่งเมืองอโยธยา
นั่นคือตั้งแต่เมื่อครั้งพระเจ้าอู่ทองเสด็จมาทรงสำรวจหาทำเลที่เหมาะสมในการสร้างกรุงศรีอยุธยา
แค่ประวัติความเป็นมาของพระเจ้าอู่ทองก็น่าสนใจเสียแล้วละครับ
เพราะในเอกสารประวัติศาสตร์แต่ละชิ้นบันทึกเอาไว้อย่างหลากหลาย ไม่ตรงกัน บ้างก็ว่าเสด็จมาจากเมืองจีน
บ้างก็ว่าเสด็จมาจากเชียงแสน บ้างก็ว่ามาจากละโว้ บ้างก็มาจากเพชรบุรี (มึนดีไหมล่ะ)
แต่ที่พอจะเข้าเค้ากับหลักฐานเอกสารและหลักฐานทางโบราณคดีมากที่สุด ก็คือข้อที่ว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์อโยธยาเดิมครับ อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่า เมืองอโยธยาเดิมนั้นเป็นเมืองท่าของละโว้
เมื่อเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นได้ทรงนำชาวเมืองอพยพย้ายเมืองหนีไปชั่วคราว
แล้วจึงเสด็จกลับมาสำรวจหาทางสร้างเมืองขึ้นใหม่ในสถานที่ใกล้เคียง
ตรงนี้เข้ากันได้ดีกับเนื้อหาในพงศาวดาร ที่ว่าหลังสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว
พระองค์ได้โปรด ฯ ให้ขุดพระศพเจ้าแก้วเจ้าไทย
(หมายถึงพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสีและพระสังฆราชฝ่ายคามวาสี) ที่สิ้นพระชนม์ด้วยโรคระบาด
ขึ้นมาฌาปนกิจบำเพ็ญกุศล เพราะหากไม่ใช่พระองค์เคยครองเมืองอโยธยานี้อยู่ก่อน จะทรงทราบได้อย่างไรว่ามีศพเจ้าแก้วเจ้าไทยฝังอยู่
แล้วฝังไว้ตรงไหน นอกจากนี้ยังมีข้อมูลชัดเจนอีกว่าพระเจ้าอู่ทองมีสายสัมพันธ์กับสองนครใหญ่ใกล้เคียง
คือสุพรรณภูมิและละโว้ โดยมีพระมเหสีสองพระองค์
เป็นเจ้าหญิงจากสุพรรณภูมิองค์หนึ่ง และเจ้าหญิงจากละโว้อีกองค์หนึ่ง ทำให้ยิ่งมีความเป็นไปได้ในข้อนี้มากขึ้นด้วย
ระหว่างทรงสำรวจหาทำเลที่ตั้งอันเหมาะสมจะสร้างเมืองใหม่ พระเจ้าอู่ทองได้ทรงสร้างพระตำหนักขึ้นเป็นสถานที่พักแรมชั่วคราวบนอีกฟากฝั่งน้ำนอกเกาะเมือง
เรียกกันว่า
“เวียงเล็ก” ซึ่งฟังจากชื่อก็น่าจะเป็นพระราชวังขนาดเล็กที่มีคูค่ายแข็งแรงมั่นคง
จนเรียกกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “เวียงเหล็ก”
ครั้นเมื่อสถาปนากรุงศรีอยุธยาสร้างพระราชวังใหม่ในเกาะเมืองเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงโปรดให้สร้างวัดขึ้นเป็นอนุสรณ์ ณ เวียงเล็กที่พระองค์เคยเสด็จมาประทับอยู่แต่เดิม
ถือเป็นอารามหลวงแห่งแรกที่สร้างขึ้นในสมัยของกรุงศรีอยุธยา พระราชทานนามว่าวัดพุทไธศวรรย์
ใหญ่โตโอ่อ่าอยู่ริมฝั่งน้ำเห็นได้แต่ไกล
ช่วงนี้ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลแวะเวียนกันเข้ามาเยี่ยมชมวัดพุทไธศวรรย์กันอย่างชนิดที่เรียกว่า
“หัวบันไดไม่แห้ง” แต่ส่วนใหญ่มาเพราะเป็นฉากหนึ่งในละคร “บุพเพสันนิวาส”เท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วในฐานะเป็นวัดสำคัญของกรุงศรีอยุธยามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ภายในวัดได้สั่งสมความงดงามของศิลปกรรมอยุธยาไว้หลายยุคหลายสมัย
จึงมีอะไรต่อมิอะไรให้ดูมากมาย ขนาดสมัยอยุธยาเองยังถือว่าเป็นวัดสำคัญที่เชิดหน้าชูตาของพระนคร
สำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเชียวนะครับ
ปรากฏความในจดหมายเหตุของราชฑูตลังกาที่เข้ามายังพระนครศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
พรรณนาถึงความวิจิตรงดงามเอาไว้อย่างละเอียดพอสมควร อยากรู้ว่าวัดพุทไธศวรรย์สมัยนั้นอลังการงานสร้างตระการตาขนาดไหนคงต้องลองอ่านดูกัน
“เจ็ดวัดต่อมาในวันศุกร์ เป็นวันเพ็ญ
ข้าราชการสองคนมาพบเราและบอกว่า มีพระบรมราชโองการให้พาเราไปที่วัดสองวัดในวันนี้
เราจึงเดินทางโดยทางเรือไปที่วัด เรียกว่าวัดพุทไธศวรรย์ (Puthai Suwan) ซึ่งจะอธิบายดังต่อไปนี้
ทางด้านขวามือของแม่น้ำใหญ่มีทุ่งกว้างที่สิ้นสุดลงที่ฝั่งแม่น้ำ ณ
ที่นี้อาคารหลังคาสองชั้นสร้างเป็นรูปจัตุรัส มีประตูอยู่สี่ประตู ทั้งสี่ด้าน
ผนังทั้งสี่ประดิษฐานพระพุทธรูปปิดทองสองร้อยองค์
ภายในประตูทางด้านทิศตะวันออกมีรอยพระพุทธบาทจำลอง รูปมงคลบนรอยพระพุทธบาทนั้น
ปิดทองตรงกลางของจตุรัส มีพระปรางค์ (dagava) ใหญ่ปิดทอง มีสี่ประตู
เมื่อเข้าประตูด้านทิศตะวันออกแล้ว
จะมีบันไดศิลาปิดทอง พระมหาธาตุนั้นประดิษฐานอยู่ภายในท้องคูหาของพระปรางค์
ห้องนี้สร้างขึ้นเพื่อให้เดินประทักษิณได้โดยรอบพระมหาธาตุ
โดยไม่ต้องเข้าไปใกล้พระธาตุ ภายในพระปรางค์ยังมีรอยพระบาทจำลองปิดทองอีกด้วย
เคียงข้างประตูทิศตะวันออก
มีพญานาคห้าเศียรเลื้อยลงสู่พื้นดิน ทางด้านทิศเหนือของพระปรางค์มีวิหารหลังคาสองชั้น
มีชุกชีอยู่ตรงกลาง บนฐานนี้มีพระพุทธรูปประทับปิดทอง สูง ๑๒ ศอก ทางด้านทิศตะวันออกหันหน้าไปทางพระปรางค์
มีวิหารหลังคาห้าชั้น
ผูกเพดานด้วยผ้าและประดับด้วยจิตรกรรมปิดทองเสากลางห้องปิดด้วยแผ่นทองคำ
บนชุกชีกลางห้องนั้นมีพระพุทธรูปทองคำขนาดเท่าคน
เคียงข้างด้วยรูปปิดทองคล้ายกับสองรูปพระสาวกสำคัญ พระสารีบุตรมหาสามิ และพระมหาโมคลานะมหาสามิ
และรูปอื่น ๆ อีกมากมาย
ตอนบนของประตูทางเข้าตั้งแต่หลังคาถึงทับหลังประตูมีจิตรกรรมปิดทองรูปพระพุทธเจ้าในสวรรค์ของท้าวสักกะ
พระพุทธองค์ประทับบนบัลลังก์สีขาว ทรงเทศนาพระอภิธรรมอันประเสริฐโปรดพระอิศวร (Maha Deva) และเทพ แลพรหมในโลก ที่ยังไม่สมบูรณ์ และมีภาพตอนเมื่อทรงเทศนาเสด็จลงจากสวรรค์
โดยบันไดทองสู่สกัสสปุระ (Sakaspura) พระวิหารหลังนี้มีกำแพงและประตูล้อม อย่างมั่นคง รอบ ๆ
มีอาคารที่รื่นรมย์และกุฎิสงฆ์เต็มไปด้วยผู้ทรงศีล ผู้ศรัทธาที่สูงศักดิ์
อุบาสิกา”
ผมเองลองไปเดินเที่ยวชมวัดตามรอยบันทึกนี้แล้วจินตนาการตามไปด้วย
พอจะเห็นได้ถึงความอลังการในอดีตได้พอสมควร แต่ต้องใช้พลังงานในการ “มโน”
ค่อนข้างมาก
จะว่าไปปัจจุบันนี้ยุคไทยแลนด์ ๔.๐ แล้ว ถ้าหากทางวัดหรือทางจังหวัดหางบประมาณหรือการสนับสนุนจากภาคเอกชน
จัดทำเป็นแอพพลิเคชั่นชมวัดพุทไธศวรรย์ในอดีต โดยใช้ข้อมูลจำลองแบบขึ้นมาเป็นภาพสามมิติ เชื่อมกับโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ตโฟนให้นักท่องเที่ยวดาวน์โหลดไปเดินเที่ยวชมกันได้ละก็
คงจะเป็นการเที่ยวชมวัดที่น่าตื่นตาตื่นใจขึ้นอีกจมเลยเชียวครับ
ใกล้กันกับวัดพุทไธศวรรย์ยังมีโบราณสถานน่าชมอีกแห่งนั่นคือวัดเตว็ด อาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น
รูปแบบอิทธิพลสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่รับเข้ามาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
หน้าต่างก่อทำเป็นช่องซุ้มโค้งยอดแหลม
หน้าจั่วชั้นสองก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายปูนปั้น โดยส่วนขอบเป็นลายแบบยุโรป หางหงส์ทำเป็นหัวฝรั่งหันข้างสวมวิกผมยาวเป็นลอน
สวมเสื้อมีระบายผูกผ้าพันคอ
กึ่งกลางหน้าจั่วปั้นปูนรูปวิมานประดับลายเครือเถาแบบฝรั่งผสมผสานกับลายนกคาบของไทยแลดูอ่อนช้อยสวยงาม
ผนังด้านในเจาะเป็นซุ้มสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป
แม้ปรักหักพังแต่ยังเด่นสง่างดงามอยู่ในร่มไม้เขียวครึ้มที่แวดล้อมอยู่รอบด้าน
เหตุที่เรียกวัดเตว็ดเนื่องจากตัวอาคารพังทลายลงหมดเหลือเพียงผนังอาคารด้านสกัดที่มีหน้าจั่วอยู่เพียงด้านเดียว
ลักษณะคล้ายเจว็ด ชาวบ้านจึงเรียกตามลักษณะที่เห็น ว่าวัดเจว็ด
ก่อนจะเพี้ยนเป็นวัดเตว็ดในที่สุด
ตามพงศาวดารในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘
(พระเจ้าเสือ) พ.ศ. ๒๒๔๓ ว่าเมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาในสมเด็จพระเพทราชา
คือสมเด็จกรมหลวงโยธาเทพและสมเด็จกรมหลวงโยธาทิพ ได้ทูลลาสมเด็จพระเจ้าเสือออกจากพระราชวัง
เสด็จออกบวชชี พร้อมนำเจ้าตรัสน้อยราชบุตรซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเพทราชา
มาตั้งนิวาสสถานอยู่ใกล้วัดพุทไธศวรรย์
และเมื่อราชบุตรอายุครบเกณฑ์โสกันต์ได้ทรงให้บรรพชาเป็นสามเณรและพระภิกษุเพื่อศึกษาเล่าเรียนที่วัดพุทไธสวรรย์ด้วย
ตึกฝรั่งหลังนี้น่าจะเป็นตำหนักของพระมเหสีทั้งสองพระองค์ดังกล่าว
แต่หลายคนที่มาเยือนอาจจะสงสัยว่าถ้าเป็นตำหนักจริง ๆ แล้ว
ทำไมถึงปรากฏร่องรอยของอุโบสถขนาดใหญ่ตั้งอยู่อยู่เบื้องหน้าพระตำหนักอย่างใกล้ชิดอย่างที่เห็น
เหมือนกับเป็นวัด การที่สุภาพสตรีแม้จะสูงศักดิ์แต่มาตั้งตำหนักอยู่ในวัดแถมติดอยู่กับอุโบสถจึงดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะถูกต้องเท่าไหร่
ข้อนี้ตอบได้ไม่ยากครับ
ว่าด้วยเหตุที่ทั้งสองพระองค์ทรงมีฐานันดรศักดิ์สูง เมื่อเสด็จออกบวชชีมีข้าราชบริพารฝ่ายในซึ่งเป็นหญิงล้วนออกบวชชีตามเสด็จด้วยมาก
การที่แม่ชีทั้งหมดซึ่งเป็นสตรีจะไปพำนักอยู่ในวัดพุทไธศวรรย์ย่อมไม่สะดวกและไม่เหมาะสมแน่นอน
เป็นเหตุให้ต้องมาตั้งเป็นสำนักนางชีขึ้นต่างหาก และเนื่องจากสำนักนางชีต้องมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย
จึงต้องสร้างพระอุโบสถไว้ให้เป็นสัดส่วนของนางชีเอง ไม่ต้องไปปะปนกับพระที่วัด โดยในวาระสำคัญอาจนิมนต์พระสงฆ์จากวัดพุทไธศวรรย์มาเป็นประธานในพิธี
วัดเตว็ดจึงไม่ใช่วัด แต่มีลักษณะเป็นสำนักนางชีที่เป็นสาขาของวัดพุทไธศวรรย์นั่นเอง
ใช่หรือไม่ใช่อย่างไรนี่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานที่ผมจินตนาการขึ้นมาจากข้อมูลและสภาพที่พบเห็นเท่านั้นนะครับ
การเที่ยวโบราณสถานบางทีต้องพยายามตอบคำถามให้กับสิ่งต่าง ๆ ที่น่าสงสัย
แต่ไม่ใช่ตอบมั่ว ๆ ส่งเดชไป ควรจะมีเหตุผลมาสนับสนุนให้น่าเชื่อถือตามสมควร พูดคุยถกเถียงกันได้ในลักษณะวิชาการจะทำให้การท่องเที่ยวมีสีสันและรสชาติมากขึ้น
ไม่น่าเบื่อง่วงเหงาหาวนอน
ส่วนที่คำตอบที่ถูกต้องอย่างแท้จริง บางครั้งก็ต้อรอข้อมูลที่อาจจะค้นพบในอนาคตข้างหน้ามาใช้เป็นกุญแจไขปริศนา
ซึ่งนั่นเป็นหน้าที่ของนักวิชาการเขาค้นคว้าครับ เรามีหน้าที่เที่ยวก็เที่ยวกันไป
เบื้องประจิม สามอาราม สามสมัย อรัญวาสีป่าแก้ว
ตีวงอ้อมเกาะเมืองมาทางฝั่งตะวันตก
ทางด้านนี้ปรากฏร่องรอยของสถาปัตยกรรมโบราณอันมีเรื่องราวน่าสนใจอยู่หลายแห่งด้วยกัน
เจดีย์วัดกระช้าย
ตระหง่านเป็นสง่าท่ามกลางความรกร้างอยู่กลางทุ่งมาเนิ่นนาน ด้วยขนาดใหญ่โตและทรวดทรงเจดีย์ที่เป็นแปดเหลี่ยมตั้งบนฐานสี่เหลี่ยมองค์ระฆังกลมเป็นแนวตั้ง
บ่งบอกได้ว่าเป็นหนึ่งในเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยอโยธยาอย่างไม่ต้องสงสัยครับ
เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ววัดกระช้ายเป็นเจดีย์ร้างที่อยู่กลางทุ่งนาอย่างแท้จริง
ไม่มีถนนตัดผ่านเข้าไป ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเคยจอดรถทิ้งไว้บนถนนแล้วเดินฝ่าแดดเปรี้ยงลุยทุ่งเข้าไปชมอย่างใกล้ชิด
ตอนนั้นยังไม่มีการบูรณะจุดแต่ง เมื่อเข้าไปใกล้เจดีย์ที่เอียงเอน เงยหน้าขึ้นไปก็แลเห็นเนื้ออิฐแดงเนื่องจากปูนฉาบผิวนอกกะเทาะหลุดร่วงไปได้ชัดเจน
ร่องรอยความกร่อนเก่าด้วยการเวลา ประกอบกับบรรยากาศที่รกเรื้อกลางท้องทุ่งแห้งแล้ง
ร้างไร้ผู้คน และต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายอยู่ข้างเจดีย์ ให้ความรู้สึกราวกับได้ย้อนอดีตกลับไปเมื่อครั้งกรุงแตกยังไงยังงั้น
บนคอระฆังเจดีย์ปรากฏร่องรอยโพรงใหญ่จากการลักลอบขุดหาสมบัติ
ที่น่าตื่นตาตื่นใจคือผมพบช่องที่เกิดจากการขุดเจาะหาสมบัติบริเวณส่วนฐานแปดเหลี่ยม
เจาะเป็นช่องขนาดเท่าตัวคน เมื่อลองเดินเข้าไปก็ต้องตะลึงครับ
เพราะภายในองค์เจดีย์เป็นห้องโล่งที่ก่ออิฐอย่างเป็นระเบียบกลวงขึ้นไปจนถึงยอดเจดีย์ข้างบนที่อยู่สูงลิบ
ซึ่งเป็นลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของเจดีย์สมัยอโยธยาที่แสดงให้เห็นเทคโนโลยีการก่อสร้างที่สูงเยี่ยมและประณีต
(เจดีย์สมัยอยุธยาภายในจะก่อด้วยอิฐทึบตันทั้งหมดไม่เป็นโพรงข้างใน) โพรงภายในเจดีย์แบบนี้น่าจะใช้เป็นที่บรรจุทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่ถวายเป็นพุทธบูชา
ซึ่งคงถูกคนร้ายที่ลักลอบขุดกรุนำออกไปนานแล้ว
ในวันนี้เจดีย์วัดกระช้ายได้รับการบูรณะขุดแต่งเป็นที่เรียบร้อยหลายปีแล้ว
มีถนนทางเข้าอย่างดีมาถึงในบริเวณวัด
แต่องค์เจดีย์ที่บูรณะไม่มีช่องทางที่จะเข้าไปชมความมหัศจรรย์ของเทคนิคการก่ออิฐของช่างสมัยอโยธยาได้อีกต่อไป
เพราะก่ออิฐปิดทึบตันหมดทุกด้าน ไม่แน่ใจว่ารวมไปถึงภายในด้วยหรือไม่
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดาย ผมมาถึงแล้วก็ได้แต่นึกย้อนไปถึงบรรยากาศรกร้างอันขรึมขลังที่เคยพบเห็น
คงไม่มีวันหวนคืนมาตลอดกาลแล้ว
น . ณ ปากน้ำ
นักประวัติศาสตร์ศิลป์คนสำคัญเคยตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า
บริเวณวัดกระช้ายแห่งนี้คือที่ตั้งวัดป่าแก้วของเมืองอโยธยา ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา เมืองโบราณต่าง
ๆ ทุกแห่งในประเทศไทย มีธรรมเนียมในการสร้างวัดป่าแก้ว คือวัดที่จำพรรษาของสมเด็จพระพนรัตน์
สังฆราชฝ่ายอรัญญวาสี (พระป่า) ไว้ทางฝั่งทิศตะวันตกของเมืองทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับโบราณสถานเก่าแก่อีกแห่ง ไม่ไกลจากวัดกระช้ายเท่าไหร่
คือวัดทุ่งประเชด หรือวัดวรเชตุ อารามขนาดใหญ่ มีพระปรางค์เป็นประธานของวัด
กับสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ อีกมากมายที่บ่งบอก
ก่อนหน้านี้วัดทุ่งประเชดไม่ปรากฏประวัติความเป็นมาชัดเจน
สมัยผมมาเตร็ดเตร่เที่ยวชมโบราณสถานกรุงเก่าเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนเคยเห็นมีป้ายติดหน้าวัดว่าชื่อวัดวรเชตุเทพบำรุงอยู่
มาครั้งนี้ถึงเห็นว่าเปลี่ยนเป็นวัดวรเชตุเฉย ๆ แถมวงมีเล็บว่า “วรเชษฐ์” ไว้ด้วย
จำได้ว่าหลายปีก่อนหน้า ในช่วงที่ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรกำลังโด่งดัง
ได้เกิดมีการถกเถียงกันขึ้นมาในแวดวงประวัติศาสตร์กันนัวเนียพอสมควร ว่าวัดวรเชษฐารามที่สมเด็จพระเอกาทศรถทรงสร้างเพื่อถวายสมเด็จพระนเรศวรคือวัดวรเชษฐารามในเกาะเมือง
หรือวัดวรเชตุนอกเกาะเมืองแห่งนี้กันแน่ ซึ่ง จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้ข้อยุติ
อาจจะต้องปล่อยให้นักวิชาการที่เกี่ยวข้องเขาไปหาหลักฐานมายืนยันกันให้รู้เรื่องอีกทีครับ
ไม่รู้ว่าจะอีกนานกี่ปีเหมือนกัน
สรุปได้ตอนนี้แน่ ๆ ก็คือวัดวรเชตุนอกเกาะเมืองนี้เป็น”วัดป่าแก้ว”
พระอารามที่จำพรรษาของพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสีของกรุงศรีอยุธยาในยุคต่อมาแน่นอน
วัดวรเชตุน่าจะทำหน้าที่สำคัญนี้ต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
เมื่อพระองค์เสด็จไปตีนครธมได้ โปรด ฯ ให้สร้างวัดขึ้นบนที่ดินซึ่งเคยเป็นบ้านของพระราชมารดา
ด้วยสถาปัตยกรรมที่จำลองรูปแบบมาจากนครวัดในกัมพูชา
แต่ปรับแปลงในส่วนของเมรุทิศให้และส่วนประกอบต่าง ๆ
ให้มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง คือวัดไชยวัฒนาราม
และโปรดให้เป็นวัดที่จำพรรษาของพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสีแทนวัดวรเชตุนับแต่นั้น
วัดไชยวัฒนารามนี้คงไม่ต้องพูดกันมากครับ
ว่ามีอะไร น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว
เพราะเป็นหนึ่งในอีกวัดที่ปรากฏเป็นฉากสำคัญในละครบุพเพสันนิวาส ในช่วงนี้ไม่ว่าจะไปที่วัดเวลาไหนเช้า
สาย บาย หรือเย็น ล้วนแล้วแต่ได้เห็น
“ออเจ้า” ทั้งหลายเดินกันแน่นวัดทั้งวัน
เกาะพระนคร ศูนย์กลางแห่งกรุงศรีอยุธยา
จากฟากตะวันตก เราข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่เกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา
ศูนย์กลางของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาอันยิ่งใหญ่รุ่งเรืองที่สุดในดินแดนสุวรรณภูมิ
พระราชพงศาวดารบันทึกเอาไว้ว่า
พระเจ้าอู่ทองหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสถาปนาพระนครแห่งใหม่ ขึ้นในบริเวณหนองโสน
แล้วพระราชทานนามว่า “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา”
ในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ พระราชวังแห่งแรกสร้างขึ้นบริเวณตอนเหนือของหนองน้ำ โดยอาศัยใช้แม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคูพระนครด้านเหนือ
ด้านตะวันตก และด้านใต้ ส่วนด้านตะวันออกนั้น
ขุดคูน้ำขึ้นใหม่ตามแนวคูเมืองอโยธยาเก่าใช้เป็นคูเมืองด้านนอก
โบราณสถานในเกาะเมืองอยุธยาส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในบริเวณตอนกลางของเกาะ
ใกล้กับพระราชวัง โดยมีทั้งวัดที่สร้างขึ้นใหม่ อย่างเช่นวัดพระราม สร้างขึ้นในบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระเจ้าอู่ทอง
วัดพระศรีสรรเพชญ์ สร้างขึ้นบนพื้นที่พระราชวังในสมัยพระเจ้าอู่ทอง
เนื่องจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงย้ายพระราชมณเฑียรขึ้นไปทางตอนเหนือของพระราชวังเดิม
จึงยกถวายป็นเขตพุทธาวาส ใช้เป็นวัดในเขตพระราชวังสำหรับประกอบพระราชพิธีสำคัญต่าง
ๆ ของบ้านเมือง ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา (เหมือนกับวัดพระแก้วที่กรุงเทพ
ฯ)
บางส่วนก็เป็นวัดที่สร้างลงบนโบราณสถานของเมืองอโยธยาเดิมเช่นวัดมหาธาตุ ปรางค์ประธานของวัดมหาธาตุนี้เคยสูงใหญ่ที่สุดในอยุธยาคือสูงถึง
๒๕ วา เนื่องจากมีการบูรณปฏิสังขรณ์ซ้อนทับกันขึ้นไปหลายชั้นในหลายยุคสมัย
จนในที่สุดก็พังทลายลงมาเมื่อสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕ นี้เอง
เศียรพระพุทธรูปในโอบล้อมของรากไม้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้จักวัดมหาธาตุ
เศียรพระพุทธรูปนี้เป็นศิลปกรรมแบบอู่ทองอันเป็นของเมืองอโยธยาเก่า ในการขุดแต่งโบราณสถานของกรมศิลปากรพบชิ้นส่วนพระพุทธรูปศิลาหินทรายสมัยอโยธยาจำนวนมากมายอึดตะปือนัง
ซ่อนอยู่ใต้ฐานพระวิหารหลวงบ้าง โบกปูนซ่อนอยู่ในผนังวิหารบ้าง
สันนิษฐานว่าเมื่อมีการปฏิสังขรณ์วัดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ช่างในสมัยนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรกับชิ้นส่วนพระพุทธรูปศิลาที่ปรักหักพังของเดิมที่มีอยู่อย่างมากมาย
จึงรวบรวมนำไปไว้ตามสถานที่ดังกล่าว (ปัจจุบันก็ไม่รู้จะเอาไว้ที่ไหนอีกเหมือนกันครับ
เห็นเอาไปกองรวมกันไว้อยู่ริมกำแพงวัด)
แต่ที่มีเรื่องราวความเป็นมาน่าตื่นเต้นที่สุดในแถบนี้ก็คือ
วัดราชบูรณะครับ สร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่
๒ (เจ้าสามพระยา) ในบริเวณพื้นที่และตำแหน่งเดิมที่พระองค์ได้ทรงถวายพระเพลิงศพให้กับเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา
ที่ชนช้างแย่งราชสมบัติกันจนสิ้นพระชนม์ทั้งคู่
พงศาวดารกรุงเก่าบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๔๗
เมืองเหนือเกิดจลาจลเนื่องจากพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล)
กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์พระร่วงที่ครองกรุงสุโขทัยเสด็จสวรรคต สมเด็จพระนครินทราธิราชจึงเสด็จยกทัพขึ้นไปถึงเมืองพระบาง
(นครสวรรค์) โปรดให้เจ้าอ้ายพระยา
พระโอรสองค์โตครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พระยา พระโอรสองค์รองค์รอง ครองเมืองแพรกศรีราชาหรือเมืองสรรค์ และเจ้าสามพระยาองค์สุดท้องครองเมืองชัยนาท
(พิษณุโลก)
เมื่อสมเด็จพระนครินทราธิราชเสด็จสวรรคต เจ้าอ้ายพระยาทรงทราบข่าวพลันยกทัพจากสุพรรณบุรีเข้ามา
พร้อม ๆ กันกับเจ้ายี่พระยาก็ยกทัพลงมาจากเมืองสรรค์เช่นกัน เพื่อเข้าครอบครองราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยาแทนพระราชบิดา
ทั้งสองทัพเกิดปะทะกันขึ้นจนถึงขั้นตะลุมบอน บริเวณเชิงสะพานป่าถ่าน เจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาทรงกระทำยุทธหัตถี
ปรากฏว่าทั้งสองพระองค์ฝีมือทัดเทียมกัน
ต่างฝ่ายต่างถูกพระแสงของ้าวของฝ่ายตรงข้าม พระศอขาด สิ้นพระชนม์บนคอช้างทั้งสองฝ่าย
หลังจากทั้งสององค์สิ้นพระชนม์
เจ้าสามพระยาซึ่งเป็นพระอนุชาองค์เล็กก็เสด็จยกทัพจากเมืองชัยนาท มาขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา
เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ แล้วโปรดให้ถวายพระเพลิงพระศพของพระเชษฐาทั้งสองพระองค์
แล้วสร้างวัดราชบูรณะในที่ถวายพระเพลิงนั้น
แล้วยังโปรดให้สร้างเจดีย์เล็ก ๆ
บริเวณที่ทั้งสองพระองค์ชนช้างกันเป็นอนุสรณ์ เรียกว่า เจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่
ปัจจุบันยังมีให้เห็นอยู่ครับ แต่ต้องสังเกตให้ดี ๆ อยู่ตรงวงเวียนกลางสี่แยกระหว่างวัดมหาธาตุกับวัดราชบูรณะพอดี
มองผ่าน ๆ แทบไม่เห็นเหมือนกัน ทั้งที่เป็นสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แท้
ๆ
เบื้องอุดร ประวัติศาสตร์การชิงอำนาจและการล่มสลาย
เป็นเรื่องบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อครับ
ที่นอกเกาะเมืองฝั่งทางทิศเหนือมีสถานประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงราชสมบัติ
การเสียกรุง การกู้เอกราช มารวมกันอยู่ฟากนี้แทบทั้งหมด ตั้งแต่เจดีย์ภูเขาทองซึ่งตั้งอยู่ไกลลิบ
ๆ ข้างนอกโน้น ที่ว่ากันว่าบุเรงนองมาสร้างเจดีย์ใหญ่แบบมอญ ไว้เป็นที่ระลึกในการตีกรุงศรีอยุธยาได้
(คราวเสียกรุง ฯ ครั้งที่ ๑) ก่อนที่จะมาซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโดยเปลี่ยนส่วนยอดของเจดีย์เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองแบบอยุธยา
โดยที่ฐานยังเป็นแบบมอญอยู่
บนเส้นทางของเราก็มีอยู่อีกหลายแห่งเรียงรายกันอยู่
ตั้งแต่วัดเชิงท่า อารามซึ่งเคยเป็นที่จำพรรษาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ผู้กอบกู้กรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งยังอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี้กัน ส่วนใหญ่ที่มากันรู้แต่ว่าเป็นวัดที่แม่หญิงการะเกดมาทำบุญ
ในละคร “บุพเพสันนิวาส” (เป็นซะยังงั้นไป)
วัดโคกพระยา แดนประหารหรือสถานที่สำเร็จโทษพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในการชิงบัลลังก์
ซึ่งก็มีทั้งที่นำมาประหารที่วัดและมีทั้งประหารที่อื่นแล้วนำพระศพมาฝังที่วัด อย่างต่อเนื่องยาวนานตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา
วัดนี้เมื่อก่อนรกเรื้อเต็มไปด้วยต้นไม้
ใกล้ ๆ กันกับวัดหัสดาวาส ที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทรงทำสัญญาสงบศึกกับบุเรงนอง
และวัดหน้าพระเมรุที่เป็นหนึ่งในวัดที่พม่ามาตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยา
เลยเข้าไปอีกหน่อยเป็นแถบคลองสระบัวกับคลองบางปลาหมอซึ่งเป็นคลองสาขา บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนและย่านการค้าสำคัญ คือย่านสัมพันนี
แหล่งผลิตน้ำมันงา น้ำมันลูกกะเบา และน้ำมันถั่ว รวมทั้งยังเป็นแหล่งตีเหล็ก และปั้นหม้อ ส่วนปลายคลองเป็นย่านตลาดวัดครุฑ ปั้นหม้อนางเลิ้ง ฟากตะวันออกของคลองสระบัวคือทุ่งแก้ว เป็นแหล่งผลิตสินค้าสำคัญเช่นกัน โดยย่านวัดพร้าว
ทำแป้งหอม น้ำมันหอม ธูป กระแจะ และกระดาษ บ้านคนฑี ปั้นกระโถน ตะคัน
ตุ๊กตารูปคนและสัตว์ต่าง ๆ พบหลักฐานว่าบริเวณนี้มีชาวล้านนาตั้งบ้านเรือนอยู่มากด้วย จังไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นเจดีย์แบบล้านนาขนาดใหญ่องค์หนึ่งตั้งเด่นตระหง่านอยู่ที่วัดแค
เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สำคัญอันน่าตื่นเต้นระทึกใจที่เกิดขึ้นที่คลองสระบัวและคลองบางปลาหมอ
นี่แหละครับ นั่นคือการลอบปลงพระชนม์ขุนวรวงศาธิราชและแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ โดยหลังจากแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์โปรด ฯ ให้สถาปนาขุนวรวงศาธิราชขึ้นเป็นกษัตริย์ ขุนนางผู้ใหญ่บางส่วนเห็นว่าไม่เหมาะสม ขุนพิเรนทรเทพ
(ต่อมาเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช) กับพรรคพวก จึงได้วางแผนลอบปลงพระชนม์
ในวันที่เสด็จขุนวรวงศาธิราชเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปคล้องช้างป่า
ณ เพนียดย่านหัวรอ คณะของขุนพิเรนทรเทพนำกำลังพลไปดักซุ่มบริเวณคลองบางปลาหมอ
เมื่อเรือพระที่นั่งมาถึงบริเวณปากคลองสระบัว ก็ออกจากที่ซุ่มเข้าสกัดจับขุนวรวงศาธิราชกับนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์พร้อมพระราชบุตรปลงพระชนม์บริเวณวัดเจ้าย่า แล้วนำศพไปเสียบประจานไว้ที่วัดแร้ง จากนั้นจึงไปทูลเชิญพระเทียรราชาซึ่งขณะนั้นผนวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐาน
ให้ลาผนวชขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
เส้นทางของเรามาสิ้นสุดลงที่วัดแม่นางปลื้ม
มีประวัติว่าเดิมชื่อ วัดท่าโขลง เพราะเป็นบริเวณที่โขลงช้างเข้ามาก่อนถูกต้อนเข้าเพนียด
ภายในวัดมีเจดีย์ใหญ่ที่มีรูปสิงห์ปูนปั้นท่วงทีองอาจประดับโดยรอบฐาน วัดนี้เคยเป็นที่ตั้งค่ายพม่า ตั้งประจันหน้าฝั่งกับป้อมมหาไชยที่อยู่ตรงข้ามอีกฟากแม่น้ำ
ยังหลงเหลือร่องรอยเนินค่ายปรากฏอยู่ตรงด้านทิศตะวันออกหน้าวัด เรียกว่า “โคกพม่า”
ข้อมูลจากพงศาวดารระบุว่ากองทัพพม่าตั้งปืนใหญ่ระดมยิงข้ามกำแพงเมืองเข้าไปในพระนครและใช้ทหารลอบเข้ามาขุดรากกำแพงเมืองฝังระเบิดจนกำแพงเมืองทลายลง จุดสำคัญที่พม่าทำอุโมงค์เข้าขุดเผารากกำแพงเมืองบริเวณป้อมมหาไชยจนพังทลายลง
แล้วยกทัพเข้าเผาทำลายเมืองได้ เป็นการปิดฉากความรุ่งเรืองที่สืบเนื่องมายาวนานนับหลายศตวรรษของกรุงศรีอยุธยาลงอย่างสิ้นเชิง
แต่ดูเหมือนว่าอดีตอันรุ่งโรจน์ของกรุงศรีอยุธยายังคงอยู่ในความทรงจำ
ในสายเลือด ของคนไทยตลอดมา
เพราะเมื่อมีการสร้างภาพยนตร์หรือละครเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาเมื่อไหร่
คนไทยก็คล้ายกับจะระลึกชาติกันขึ้นมาได้ทุกครั้ง
แห่กันกลับมาเยี่ยมเยือน”กรุงเก่า” บ้านเดิมในความทรงจำกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
เส้นทางท่องเที่ยวของเราสิ้นสุดลง
เพราะหน้ากระดาษหมดโควตา ทว่าแท้ที่จริงแล้วเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยาไม่ได้มีเพียงเท่านี้
ในประวัติศาสตร์ ๔๑๗ ปี
ยังมีร่องรอยเรี่องราวมากมายที่รอการเล่าขานอยู่ครับ เพียงแต่ได้ยินว่าตอนนี้กำลังมีการสร้างละคร
“บุพเพสันนิวาส” ภาคสองกันอยู่ เชื่อว่าน่าจะได้ออกอากาศในอีกไม่นานเกินรอ
ดูท่าทีแล้วน่าจะมีโอกาส “ฮิต” จนอาจจะได้มี “ออเจ้าฟีเวอร์” กันอีกรอบ
ไว้ถึงวันนั้นเราค่อยมา
“บุพเพสันนิบาต”
ตามรอยประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา กันอีกสักทีแล้วกันครับ
No comments:
Post a Comment