ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...รายงาน
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐
“Geopark
is not Geological site Geopark is peoples” พูดให้เข้าใจง่าย ๆ
ก็คือจีโอปาร์คไม่ใช่แค่แหล่งธรณีวิทยา แต่จีโอปาร์คคือวิถีชีวิตชุมชน
เป็นสิ่งที่กรมทรัพยากรธรณีพามาดูในครั้งนี้
ว่าอุทยานธรณีจะส่งผลให้เกิดการอนุรักษ์และมีส่วนร่วมกับคนที่อยู่ในสตูลอย่างไร”
นายทศพร
นุชอนงค์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณีกล่าวกับคณะสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทางทัศนศึกษา “อุทยานธรณีสตูล
สู่อุทยานธรณีระดับโลก” เส้นทางแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา อำเภอทุ่งหว้า
อำเภอมะนัง และอำเภอละงู จังหวัดสตูล ระหว่างวันที่ ๑-๓ มีนาคม ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ประชาสัมพันธ์อุทยานธรณีสตูล หน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า
หลายปีมาแล้วที่กรมทรัพยากรธรณี
ได้ทำการศึกษาสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับมรดกทางธรรมชาติทางธรณีวิทยาในประเทศไทย แล้วพบว่าพื้นที่จังหวัดสตูลมีความสมบูรณ์ทางด้านธรณีวิทยาอย่างน่าอัศจรรย์
คือเป็นทะเลโบราณ ปรากฏหลักฐานทางธรณีวิทยาและฟอสซิลสัตว์ทะเลดึกดำบรรพ์หลากหลายชนิด
ครบถ้วนจากทั้ง ๖ ยุค อันได้แก่ แคมเบรียน ออร์โดวิเชียน ไซลูเรียน
โดวิเนียน คาร์บอนิเฟอรัส และเพอร์เมียน ในมหายุคพาลีโอโซอิค
ประมาณ ๕๔๒ – ๒๕๑ ล้านปีมาแล้ว เก่าแก่กว่ามหายุคมีโซโซอิคซึ่งเรารู้จักกันดีว่าเป็นช่วงเวลาไดโนเสาร์ครองโลก
เป็นที่มาของการนำเสนอให้สตูลเป็นมรดกโลกทางด้านธรณีวิทยาในเวลาต่อมา
เพื่อความเข้าใจเบื้องต้นจึงได้มีการนำคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมภายในพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้ากันก่อน
ภาพยนตร์สามมิติบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตโลกใต้ทะเลของมหายุคพาลีโอโซอิคอย่างสนุกสนาน
พร้อมด้วยนิทรรศการที่สรุปพัฒนาการทางธรณีวิทยาอันต่อเนื่องมาถึงชุมชนในปัจจุบัน ช่วยให้เห็นภาพโดยรวมของแหล่งอนุรักษ์ทางธรณีเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
จากนั้นจึงเป็นการเดินทางลงสู่พื้นที่เพื่อสัมผัสกับของจริงโดยรถตู้ที่ทางกรมทรัพยากรธรณีจัดเตรียมไว้ให้
บริเวณศาลทวดบุญส่ง
ชาวบ้านสร้างศาลาครอบสิ่งที่มองเผิน ๆ คล้ายเจดีย์โบราณปรักหักพังเอาไว้ วิทยากรของกรมทรัพยากรธรณีชี้ให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งนี้คือ
“หินสาหร่าย” บนหินปูนเนื้อละเอียด
ปรากฏชั้นหนาสีแดงส้มสลับกับแถบสีแดงเข้มเส้นบาง ๆ เป็นซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสโตรมาโตไลต์
(Stromatolite) จากยุคออร์โดวิเชียน แทรกอยู่ในเนื้อหินปูน ที่ทำให้น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือสโตรมาโตไลต์เป็นแหล่งอาศัยของไซยาโนแบคทีเรียที่ผลิตออกซิเจนให้กับโลกในยุคดึกดำบรรพ์
ในยุคก่อนหน้านี้ไม่มีออกซิเจน อยู่เลย
การมีออกซิเจนขึ้นมาทำให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่ใช้ออกซิเจนในที่สุด
แหล่งฟอสซิลเขาน้อยเป็นอีกแห่งที่น่าอัศจรรย์ใจ
อยู่ถัดมาอีกไม่ไกล บริเวณนี้เดิมเคยเป็นบ่อดินสำหรับขุดดินขาย แต่เมื่อกรมทรัพยากรธรณีมาสำรวจพบว่าในหินจำนวนมากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปปรากฏร่องรอยของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ในยุคแคมเบรียนและออร์โดวิเชียน
ไม่ว่าจะเป็นไทรโลไบต์ แกรปโตไลต์ ฯลฯ ล้วนพบได้อย่างง่ายดาย
เพียงกระเทาะเนื้อหินออกมาเท่านั้น ปัจจุบันจึงกลายเป็นแหล่งทัศนศึกษาเรียนรู้ด้านธรณีวิทยาของนักเรียนและนักท่องเที่ยวผู้ที่สนใจซากดึกดำบรรพ์แวะเวียนกันมาเยี่ยมชม
เช้ารุ่งขึ้นคณะสื่อมวลชนลงเรือออกสู่ท้องทะเลคราม มุ่งหน้าสู่เกาะลิดี อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ห่างออกไปในท้องทะเล ๕ กิโลเมตร พบกับการต้อนรับด้วยเพลง “ทะเลดึกดำบรรพ์”จากวงดนตรีกัวลาบาราของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครอุทยาน ฯ บอกเล่าเรื่องราวของซากดึกดำบรรพ์สตูลในท่วงทำนองน่าฟัง
ก่อนจะพากันเดินลัดเลาะผ่านหาดโคลนต้นลำพู ตรงไปยัง “ทะเลแหวก”แนวสันทรายเชื่อมต่อระหว่างเกาะลิดีกับเกาะหว้าหิน วางตัวในแนวทิศเหนือ-ใต้ ประกอบด้วยกรวดหินทรายขนาด ๕-๑๐ เซนติเมตร สะสมตัวเป็นความยาว ๑๐๐ เมตร โผล่ขึ้นเมื่อยามน้ำลง บนเกาะหว้าหินยังพบซากดึกดำบรรพ์หลายชนิดเช่น รูหนอน ฟอสซิลฟองน้ำ รวมทั้งร่องรอยทางธรณีวิทยาอีกมากมายที่น่าสนใจ
ขากลับเข้าสู่ฝั่ง เรือได้แวะเวียนไปลอยลำบริเวณเขาโต๊ะหงาย เพื่อให้คณะได้ชมแนวรอยสัมผัสระหว่างหิน ๒ ยุค
คือหินทรายแดงยุคแคมเบรียน อายุประมาณ ๕๔๒ ล้านปี กับหินปูนยุคออร์โดวิเซียน
อายุประมาณ ๔๘๘ ล้านปี เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทำให้เห็นรอยต่อชัดเจนมาก
หาดูได้ยาก เรียกว่าเป็น “ธรณีสองภพ” ซึ่งหากได้ขึ้นไปเดินบนสะพานข้ามกาลเวลา ที่สร้างเป็นทางเดินไว้โดยรอบแล้ว
จะเสมือนหนึ่งสามารถก้าวย่างข้ามกาลเวลาจากยุคแคมเบรียนไปสู่ยุคออร์โดวิเชียนด้วยการก้าวเท้าเพียงก้าวเดียว
ช่วงบ่ายแวะเข้าไปเยี่ยมเยือนชุมชนบ้านหนองปัญหยา
ชุมชนเก่าแก่ที่เป็นแหล่งรวบรวมภูมิปัญญาในการทำสวดลายผ้าบาติก
จัดตั้งเป็นกลุ่มแม่บ้านในชุมชนขึ้นมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๕
ความโดดเด่นคือได้มีการประยุกต์ลวดลายบาติกทำเป็นภาพสัตว์ดึกดำบรรพ์นานาชนิด เช่น
แอมโมไนต์ ไทรโลไบต์ ลงบนเสื้อ ผ้าเช็ดหน้า และของที่ระลึกอีกหลากหลาย
สมความกับความเป็น “ฟอสซิลแลนด์”ดินแดนดึกดำบรรพ์ของสตูล
บ่ายคล้อยชาวคณะสื่อมวลชนเดินทางเข้าไปสัมผัสกิจกรรมล่องเรือคายักเข้าถ้ำ
อันเป็นสถานที่พบชิ้นส่วน “ช้างสเตโกดอน” ช้างดึกดำบรรพ์จากสมัยไพลสโตซีน
ประมาณ ๑.๘ ล้านปีก่อน (เก่าแก่กว่าช้างแมมมอธ)
แห่งแรกและแห่งเดียวในพื้นที่ภาคใต้ จากแต่เดิมชื่อ “ถ้ำวังกล้วย” จึงเปลี่ยนชื่อเป็นถ้ำเลสเตโกดอนเพื่อเป็นอนุสรณ์
ด้วยความยาวกว่า ๔ กิโลเมตร ถือเป็นถ้ำน้ำลอดที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดดเด่นทางด้านธรณีวิทยาเป็นอย่างมากเพราะภายในถ้ำยังมีการก่อตัวของหินงอกหินย้อยรูปทรงสวยงามแปลกตามากมาย
ทั้งหลอดหินย้อย หินปูนฉาบ และม่านหินย้อย รวมทั้งร่องรอยของซากฟอสซิลดึกดำบรรพ์ต่าง
ๆ
แถมท้ายคลายร้อนด้วยการแวะชมน้ำตกธารปลิว
ฉ่ำชื่นใจกับสายน้ำที่หลากไหลผ่านหน้าผาหินปูนยุคออร์โดวิเชียนที่เกิดจากการพอกตัวของคราบหินปูน
เป็นแอ่งน้ำคล้ายทำนบลดหลั่นกันลงมาอย่างสวยงาม
วันสุดท้ายชาวคณะมุ่งหน้าไปชมความยิ่งมใหญ่ของถ้ำภูผาเพชร
แหล่งมรดกธรณีสำคัญอีกแห่ง ภายในถ้ำกว้างมีเนื้อที่โดยรวมประมาณ
๕๐ ไร่ หรือประมาณ ๒๐,๐๐๐ ตารางเมตร โพรงถ้ำลดหลั่นเป็นสามระดับ แบ่งออกเป็นห้องเล็กห้องน้อยประมาณ
๒๐ ห้อง แต่ละห้องมีหินงอกหินย้อยสวยงามอลังการ
หลายแห่งมีประกายแวววาวเมื่อต้องแสงไฟ เป็นที่มาของสมญานาม “ถ้ำภูผาเพชร”
สุดปลายถ้ำเป็นปล่องทะลุสู่ภายนอก
ปากถ้ำเป็นหินก้อนใหญ่ มองดูไกล ๆ
คล้ายไดโนเสาร์ไทรันโนซอรัสนอนตายอยู่ ดูน่าตื่นตาตื่นใจ
ภายในถ้ำมีการจัดการที่ดี โดยองค์การบริหารส่วนตำบลปาล์มพัฒนาได้สร้างสะพานทางเดินไม้ลัดเลาะไปตามแนวหินงอกหินย้อยป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวสัมผัส
พร้อมด้วยระบบไฟส่องสว่างที่จะทำงานเมื่อมีคนเดินผ่าน
ทาง UNESCO กำหนดเข้ามาตรวจสอบและประเมินคุณสมบัติของอุทยานธรณีสตูลในช่วงเดือนพฤษภาคม-
มิถุนายนนี้ โดยหลักเกณฑ์ที่ใช้มีอยู่สี่ประการ
ได้แก่คุณค่าความเป็นแหล่งทรัพยากรธรณีในระดับนานาชาติ (Geo Heritage) มีหน่วยงานในการดูแลและบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ
ชุมชนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรณีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน
และมีการศึกษาวิจัย ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในแหล่งทรัพยากรทางธรณี
นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า
ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูลคนแรก เปิดเผยว่า หลังเดือนกันยายน
๒๕๖๐ นี้คงจะทราบผลการประเมินอย่างเป็นทางการว่าผ่านหรือไม่ แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่ประการใด
เพราะแนวคิดหลักในการประกาศเป็น Geo Heritage ของ Unesco คือต้องริเริ่มจากชุมชน
ซึ่งที่สตูลนี้เป็นการเริ่มต้นจากชุมชนอย่างแท้จริง ดังจะเห็นว่าเน้นการอนุรักษ์และการพัฒนาเพื่อเศรษฐกิจชุมชน
ในอนาคตที่จะถึงนี้ยังมีโครงการสร้างที่ทำการและพิพิธภัณฑ์อุทยานธรณีสตูลขึ้นบนพื้นที่
๒๘ ไร่ ภายในอาณาเขตของมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล ในงบประมาณ ๖๐๐
ล้านบาท กำลังอยู่ในระหว่างของบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งความคืบหน้าของมรดกอุทยานธรณีโลกสตูลนี้
ทาง อนุสาร อ.ส.ท. จะได้ติดตามมานำเสนอต่อไป
No comments:
Post a Comment